ย้อนรอยคดี #BlackLivesMatter พร้อมเปิดคำตัดสินล่าสุด ในวันที่ความยุติธรรมกลับมาอีกครั้ง

     ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2020 ที่ผ่านมา เหตุการณ์สุดสะเทือนใจคนทั่วโลกได้เกิดขึ้น ที่เมืองมินนิอาโปลิส รัฐมินเนโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อตำรวจเข้าจับกุมชายผิวสีนามว่า George Floyd โดยใช้ช่วงเข่ากดต้นคอของจอร์จเอาไว้เป็นเวลานานจนขาดอากาศหายใจในที่สุด การตายของจอร์จไม่ใช่จุดสิ้นสุด ทว่ามันคือเชื้อเพลิงที่เพิ่งจะโหมกระพือ ให้กระแสสังคมได้หันกลับมาให้ความสำคัญกับ “มนุษยธรรม” และ “ความยุติธรรม” กับชนทุกสีผิว กระแสการเรียกร้องความยุติธรรมดังกล่าวเริ่มครุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่เริ่มมีเหตุการณ์อีกนับสิบเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับคนผิวสีในสหรัฐอเมริกา ที่ทำให้ชนวนการรณรงค์ #BlackLivesMatter นั้นเริ่มต้นขึ้น และกลายเป็นที่พูดถึงไปทั่วโลก

     การรณรงค์เรียกร้องในประเด็น #BlackLivesMatter ไม่ได้มีจุดประสงค์เพียงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับ จอร์จ ฟลอยด์ เท่านั้น หากยังรวมไปถึงกลุ่มคนผิวสีทั่วโลกที่ต้องพบเจอกับเหตุการณ์รุนแรง และความอยุติธรรมในสังคม ในช่วงนั้นเราจึงได้เห็นเหล่าศิลปินดารามากหน้าหลายตาออกมาเคลื่อนไหว ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสียงเรียกร้องให้เห็นค่าของความเป็นมนุษย์เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็น แอนนา วินทัวร์ โต้โผใหญ่แห่งโว้กอเมริกา ที่ออกมารับผิดชอบร่อนจดหมายขอโทษพนักงานผิวสีที่เคยทำงานกับเธอ และเธออาจจะเคยละเลยความสำคัญไป หรือแม้กระทั่งศิลปินสาวดีว่าชื่อดังอย่างบียอนเซ่ ก็ยังขอร่วมแสดงจุดยืนในครั้งนั้นด้วยการออกเพลง Black Parade เพื่อสะท้อนให้สังคมได้เห็นความสำคัญของประวัติศาสตร์คนผิวสี และความเท่าเทียมกันของมนุษย์ ที่นอกจากนี้ยังได้เห็นทั้ง อารีอานา แกรนเด ออกไปร่วมเดินขบวนเคลื่อนไหว และศิลปินหลายๆ คน รวมถึงอดีตสมาชิกราชวงศ์อังกฤษอย่าง เมแกน มาร์เคิล ที่ออกมาช่วยกระพือกระแสดังกล่าวผ่านโซเชียลมีเดียของตัวเองทุกช่องทาง ที่สุดท้ายแล้วผลของมันก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้จริงในวันนี้

     ช่วงเวลาอันแสนโหดร้ายเดินทางผ่านมาแล้วเกือบ 1 ปี ล่าสุดวันนี้ ผู้พิพากษาประจำรัฐมินเนโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา มีความเห็นอย่างเป็นเอกฉันท์จากคณะลูกขุนได้ตัดสินว่า นายตำรวจ Derek Chauvin ผู้เข้าควบคุมตัวจอร์จ ฟลอยด์ มีความผิดจริงในทุกข้อกล่าวหา ทั้งการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเเต่ไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน, การทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย และ การกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยรวมจากทุกข้อกล่าวหาแล้ว มีโทษจำคุกทั้งสิ้น 40 ปี กระนั้นนี่ก็เป็นเพียงกรณีศึกษาหนึ่งเท่านั้น การต่อสู้ และการรณรงค์ยังไม่ได้จบลงเสียทีเดียว

     อย่างไรก็ตามการตัดสินของศาล และคณะลูกขุนในวันนี้ ก็นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะพาให้สังคมโลกใบนี้เดินทางไปสู่การเคารพในสิทธิของความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน ไม่แบ่งแยกสีผิวหรือเชื้อชาติ โดยการตัดสินในวันนี้สร้างความดีใจให้กับประชาชนหลายคนที่รอคอยคำตัดสินของคดีดังกล่าวมาเป็นเวลานานร่วมปี กระทั่งที่เรายังได้ยินเสียงของกลุ่มคนผิวสีหลายคนตะโกนว่า "I can breathe now.” เพื่อเฉลิมฉลองให้กับความยุติธรรมที่กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งแล้วในสังคมวันนี้ ไม่เพียงเท่านั้น เพราะแรงสั่นสะเทือนของกระแส #BlackLivesMatter ยังแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ส่งไม้ต่อให้กับการเรียกร้องอื่นๆ อีกมากมาย หนึ่งในนั้นคือ #StopAsianHate ที่กำลังถูกพูดถึง และเป็นกระแสอยู่ในเวลานี้ จนอาจกล่าวได้ว่า #BlackLivesMatter คือจุดกำเนิดยุคสมัยแห่งความเท่าเทียม และการมองเห็นค่าของความเป็นคนอย่างแท้จริง ที่ยังจะมีตามมาอีกมากมายแน่นอน...