เรื่องความรุนแรงในครอบครัวสะท้อนภาพปัญหาสังคมเชิงโครงสร้างหลายรูปแบบ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาความรุนแรงที่เกิดขึ้นอาจถูกพิจารณาเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล ทว่าหากมองหยั่งรากลึกลงไปจะพบกับแก่นแท้ของการกดทับระหว่างเพศ ลำดับชนชั้นอำนาจ และอื่นๆ อีกมากมาย ซีรี่ส์เกาหลีเรื่อง As You Stood By คือกระจกสะท้อนเรื่องราวความน่าเห็นใจ ผสมผสานกับโครงสร้างอันบิดเบี้ยวที่ยากจะแก้ไข วันนี้โว้กจึงไล่ระดับเรียงเจาะลึกถึงประเด็นต่างๆ ที่ทำให้เรื่องความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องตระหนัก

เรื่องครอบครัว…คนอื่นเพิกเฉย
สังคมส่วนใหญ่ทั่วโลกมองว่าเรื่องภายในครอบครัวคือเรื่องส่วนตัว ไม่ว่าจะเกิดเหตุอะไรหากไม่กระทบต่อปัจเจกบุคคลอื่นจะถูกพิจารณาเป็นเรื่องไกลตัวอยู่เสมอ บางครั้งการเพิกเฉยอาจเต็มไปด้วยความสงสารแต่ก็มีกรอบความคิดแห่งความเพิกเฉย ในเรื่องไม่ว่า ‘ฮีซู’ จะบอบช้ำทางร่างกายและจิตใจเพียงใด สังคมทั่วไปก็เพียงแค่เฝ้ามองมาอย่างสงสารบ้าง สมเพชบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครใส่ใจหรือตระหนักถึงปัญหารากลึกอย่างจริงจัง รอยแผลของเธอเป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งความโหดร้ายที่สุดท้ายก็ไม่เกี่ยวกับคนอื่น และไม่มีใครอยากยุ่ง ชุดความคิดเช่นนี้ทำให้การกระทำของผู้สร้างความรุนแรงทวีความรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ โดยอาศัยเรื่องครอบครัวมาปกป้อง
การกดทับของสังคมชายเป็นใหญ่
มาตรวัดความสำเร็จของผู้ชายและผู้หญิงที่แตกต่างกันโดยเฉพาะในสังคมเกาหลี ปฏิเสธไม่ได้ว่าชุดความคิดของการนำครอบครัวยังเป็นบทบาทหน้าที่ของผู้ชาย ตามการนิยามแบบดั้งเดิม ดังนั้นผู้ชายมีสิทธิ์อำนาจเหนือกว่า ทั้งเชิงหน้าที่การงาน เชิงสังคม เรื่อยไปจนถึงบทบาทในครอบครัว ประเทศแถบเอเชียตะวันออกตอกย้ำชุดความคิดของการเป็นช้างเท้าหน้า และผู้หญิงอาจถูกลดทอนจนกลายเป็นผู้ตามหรือผู้ใต้อำนาจ ‘ฮีซู’ ทำได้เพียงเป็นภรรยาที่ดี ไม่หือไม่อือกับความโหดร้าย ปฏิบัติตัวให้ดีที่สุด ในขณะที่ผู้ชายคือภาพของคนสำเร็จที่มีภรรยาแสนประเสริฐอยู่เคียงข้าง ภาพความโหดร้ายทั้งหมดคือการกดทับของผู้ชายและแสดงอำนาจเหนือกว่าด้วยการกดขี่เชิงกายภาพอย่างเป็นประจักษ์

การสร้างภาพลักษณ์ต่อสังคมภายนอก
ใครจะคิดว่าสามีผู้ประเสริฐจะเป็นคนทำร้ายภรรยา ความรุนแรงในครอบครัวที่ถูกเก็บซ่อน ส่วนหนึ่งเกิดจากกลไกการสร้างภาพลักษณ์ทางสังคม ผู้ประสบความสำเร็จ ผู้โอบอ้อมอารี หรือแม้แต่การสร้างภาพสามีผู้อบอุ่นต่อโลกภายนอก สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ปิดบังความโหดร้ายเบื้องหลัง แต่ยิ่งเพิ่มอำนาจและแสดงให้เห็นจุดยืนที่เหนือกว่าขึ้นเรื่อยๆ ภรรยาที่อยู่แต่ในโลกที่ถูกควบคุมอย่าง ‘ฮีซู’ จึงเป็นเพียงหมากบนกระดานที่ไม่มีสิทธิ์ตอบโต้ “จะทำลายชื่อเสียงฉันเหรอ” คือคำขู่ที่ทรงพลัง ในขณะที่คำกล่าวจากคนภายนอกว่า “สามีที่แสนดีของเธอ” มันช่างกดทับและล็อคกุญแจใส่กลอนกรงขังความรุนแรงให้ภรรยาผู้ประสบภัยแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้
การหลบเลี่ยงเพื่ออยู่รอด
“ต้องตายกันไปข้าง” คือแนวคิดสุดโต่งที่เกิดขึ้นในสังคมเสมอมา แต่ไม่มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง ซึ่งแท้จริงแล้วบริบทจะเปลี่ยนไปสู่ “หากทำตัวดีก็ไม่ถูกทำร้าย” ลองจิตนาการว่าการกดขี่มันเกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงเพียงใด ‘ฮีซู’ จึงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเลือกที่จะยอมตามน้ำเพื่ออยู่รอดอย่างปลอดภัย หรือถ้าถูกทำร้ายก็จะได้รางวัลเป็นของขวัญเลอค่า สร้อยเพชร ไอเท็มลักชัวรี และอื่นๆ อีกมากมาย คือรางวัลปิดปากที่ทำให้ผู้หญิงถูกควบคุมโดยไม่รู้สึกตัว แค่เพียงสิ่งของเล็กๆ กับชีวิตที่มืดมนสุดขีด เชิงจิตวิทยาจะพบว่าผู้ถูกทำร้ายรู้สึกเหมือนได้รางวัลปลอบใจ บทเรียนภายในจิตใจจะถูกพร่ำสอนเพียงว่าให้เอาตัวรอด มากกว่าการออกจากวงจรอุบาทว์โดยสมบูรณ์

การหาผลประโยชน์จากความรุนแรง
‘ฮีซู’ กับความอ้างว้างที่ไม่มีใครเข้าใจและช่วยเหลือ…ดาบเล่ม 2 ที่เข้ามาฟาดฟันซ้ำอย่างไม่ปราณีคือแม่สามี ซึ่งเธอใช้เรื่องราวความรุนแรงมาหากินด้วยการรณรงค์และสร้างแรงบันดาลใจ ในขณะที่ภาพหลังบ้านคือลูกชายตนเองกำลังทำร้ายคู่ครองอย่างสาหัส พร้อมบังคับให้ปกปิดความรุนแรงเหล่านั้นเพื่อผลประโยชน์ในทุกด้าน การกดทับซ้ำเติมแบบนี้ยิ่งลดทอนความเป็นมนุษย์ของเหยื่อ และนำมาสู่การสร้างบาดแผลทางจิตใจที่เหวอะหวะไม่ต่างการจากการโดนกระทำในขั้นแรก สิ่งนี้ยิ่งผลิตซ้ำการปกปิดและเพิกเฉย เพราะคนมีอำนาจในสังคมที่เชื่อมโยงถึงบทบาทการเป็นแม่สามีอย่างเช่นในซีรี่ส์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงการขุดรากหาประโยชน์ทุกแง่มุมราวกับว่าผู้ถูกกระทำเป็นสิ่งของหรือทรัพย์สิน แต่ไม่ใช่อย่างเดียวคือมนุษย์
โครงสร้างของตำรวจ
ตำรวจคือองค์กรหรือกลุ่มสังคมที่เต็มไปด้วยรูปแบบการปกครองเชิงอำนาจ เพราะผู้บังคับบัญชาหรือการแสวงหาผลประโยชน์นั้นกดทับตำรวจชั้นผู้น้อย ไม่ว่าใครสักคนอยากก้าวออกกรอบเพื่อธำรงค์ความถูกต้องมากเพียงใด ด้วยระบบและอำนาจจากเบื้องบนสามารถกดทับจนประเด็นต่างๆ กลายเป็นผุยผง การจัดการปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 99 เปอร์เซ็นต์ถูกปัดตก (อ้างอิงตามคำกล่าวในซีรี่ส์) เพราะบางครั้งเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจ บางครั้งมีการไกล่เกลี่ย หรือบางครั้งก็มีการแก้ไขเพื่อฉากหน้า ความไม่เอาจริงเอาจังกับเรื่องความรุนแรงในครอบครัวยิ่งผลักไสให้เหยื่ออยู่ไกลเอื้อมมือแห่งการช่วยเหลือไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จินตนาการภาพว่าอุตส่าห์แบกร่างไปโรงพักด้วยความอับอายจากบาดแผล ยังต้องโดนความเพิกเฉยและการจัดการอย่างไร้ประสิทธิภาพที่เปรือบเสมือนเกลือสาดใส่แผลเหล่านั้น มันยิ่งทวีความเจ็บปวดให้เหยื่ออย่างแสนสาหัส อีกหนึ่งจุดที่น่าสังเกตคือความโหดร้ายรุนแรงในครอบครัวสร้างชุดความคิดว่าการเป็นเหยื่อนั้นน่าอับอาย ฝังรากลึกมาอย่างยาวนาน ตำรวจรับเรื่องด้วยมุมมองที่ไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจเท่าที่ควร ส่งผลให้เหยื่อไม่กล้าแม้แต่จะก้าวมาเหยียบสถานีตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเพราะเกรงกลัวอำนาจ ความเหนื่อยล้า ความเจ็บปวด และที่สำคัญคือความอับอาย

ผลประโยชน์ทับซ้อนและการกดขี่เชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
ผู้เขียนระบุถึงความเพิกเฉยหลายต่อหลายครั้งในบทความนี้ แต่สิ่งที่จะเจาะลึกเข้าไปอีกครั้งคือความเพิกเฉยที่ตั้งอยู่บนฐานเชิงเศรษฐกิจและเม็ดเงิน ตัวอย่างในเรื่องแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้ความรุนแรงใช้ทรัพยากรเพื่อใช้จ่ายและเป็นประโยชน์ต่อเหล่าพนักงานขาย ลูกค้าวีไอพีคือพระเจ้า ดังนั้นการใช้จ่ายและตามใจ รวมถึงการมองข้ามจุดแห่งความโหดร้ายจึงเป็นเรื่องปกติ(ที่ไม่ควรปกติ) บางคนอาจรู้สึกจุกอกแต่ก็จำนนปล่อยผ่าน บางคนมองเป็นเรื่องครอบครัวปกติและปล่อยผ่านแบบไม่แยแส คำกล่าวจากตัวละครหญิงที่ถูกทำร้ายว่า “สุดท้ายคุณก็เหมือนทุกคน” ตอกย้ำชุดความคิดที่ฝังรากเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ได้รับและการเพิกเฉย เพื่อความมั่นคงด้านการงาน ผลประโยชน์ทางเม็ดเงิน หน้าที่การงาน และอื่นๆ อีกมากมาย คนเป็นเหยื่อแม้จะถูกพาออกมาในสภาพแวดล้อมภายนอก แต่ก็เปรียบเหมือนถูกจับขังกรงใสและปราศจากการช่วยเหลือ ยิ่งคนรอบตัวเยอะเท่าไหร่ ยิ่งถูกเพิกเฉย และรู้สึกถึงความว่างเปล่าขึ้นเรื่อยๆ
มายาคติด้านครอบครัว
สำหรับเด็กคนหนึ่งที่ต้องเผชิญความไม่สมบูรณ์ของครอบครัว อาจไม่ใช่เพราะขาดสมาชิกคนใดคนหนึ่งไปอย่างเดียว แต่หมายถึงการที่ครอบครัวไม่ได้ผสานกลมเกลียวด้วยความรักที่ถูกทาง ‘อึนซู’ อีกหนึ่งตัวละครหลักสะท้อนภาพเหล่านี้อย่างชัดเจน สมัยวัยเยาว์เธอและน้องชายต้องคอยหลบเลี่ยงและมองข้ามการที่พ่อทำร้ายร่างกายแม่ ความทรงจำอันโหดร้ายบีบบังคับให้เธอต้องเอาตัวรอดจากความรู้สึกที่หนักหนาเกินกว่าเด็กจะรับไหว มายาคติทางครอบครัวที่กลายเป็นเถาวัลย์พันเกี่ยวไม่ให้แม่หรือแม้แต่ตัวเธอเองหลุดพ้นจากสภาวะความโหดร้ายเกินคำบรรยายคือ “ครอบครัวต้องมีพ่อ” การนิยามความสมบูรณ์แบบของครอบครัวกับเรื่องสมาชิกที่ครบถ้วน กลายเป็นดาบฟาดฟันอย่างโหดร้าย แม่ตัดสินใจทุกข์ทนทรมานเพราะต้องการให้ลูกมีครอบครัวที่สมบูรณ์ตามมายาคติเรื่องสมาชิก ลูกเองก็คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงนิสัยคนเป็นพ่อได้ หรือคิดว่าสักวันความโหดร้ายจะจบลง แต่สุดท้ายเมื่อเติบใหญ่ สิ่งที่ดีที่สุดของ ‘อึนซู’ คือการพาตัวเองและแม่หนีออกจากเงื้อมืออันเหี้ยมโหด กว่าจะตกผลึกและคิดได้ก็ใช้เวลานานเป็นหลักทศวรรษ และพิสูจน์ให้เห็นว่าครอบครัวที่สมบูรณ์เป็นเรื่องมายาคติ ความสุขของสมาชิกครอบครัวและสายใยรักที่บริสุทธิ์คือคำตอบสุดท้ายมากกว่าจำนวนที่มีครบไปก็เท่านั้น

ฝันร้ายตลอดกาล!
ปิดท้ายเรื่องราวด้วยความโหดร้ายกับฝันร้ายตลอดกาลของเหยื่อ ถึงแม้ทุกปัญหาจะคลี่คลาย อาจเพราะหลีกหนี กระทำต่อสู้ หรือสร้างชีวิตใหม่ สิ่งที่ต้องเผชิญเสมอคือความทรงจำอันโหดร้ายนำมาสู่สภาวะจิตใจไม่มั่นคง การถูกทำร้ายและถูกควบคุมชีวิตกลายเป็นดั่งส่วนหนึ่งของชีวิต ‘ฮีซู’ อาจใช้เวลาและความกล้ามหาศาลเพื่อหลุดพ้น แต่เมื่อสามีคนโหดจากไปแบบไม่มีวันกลับ แต่ในจิตใจของภรรยาผู้เป็นเหยื่อมาอย่างต่อเนื่อง สามีพร้อมกลับมาทำร้ายเธอเสมอ ทุกเสียงกริ่ง ทุกเวลาประจำที่ถูกทำร้าย ทุกคำสั่ง และอื่นๆ อีกมากมายวนเวียนภายในเซลล์สมอง หรืออาจเรียกอย่างเป็นทางการว่า ภาวะผิดปกติทางจิตใจที่เกิดขึ้นหลังจากเผชิญเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ซึ่งหมายถึงอาการ PTSD ที่หลายคนคุ้นหูกันเป็นอย่างดี สังเกตได้จาก ‘ฮีซู’ ยังรู้สึกหลอนกับช่วงเวลาเดิมๆ เหตุการณ์เดิมๆ จดจำกับสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับสามีคนเหี้ยม บีตรูต แก้ว กระดุมแขนเสื้อ สร้อยคอ ภาพถ่าย หรือแม้แต่เสียงกดกริ่ง ทั้งหมดคือองค์ประกอบในความทรงจำของจิตใจที่แตกสลายโดยสมบูรณ์ สิ่งที่เธอต้องผ่านพ้นจึงไม่ใช่เพียงความรุนแรงทางร่างกาย แต่ต้องฟื้นฟูจิตใจขนานหนัก เปรียบเทียบกับเหยื่อในสังคมจริง บางคนไม่สามารถดำรงชีวิตได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่เหมือนแม้กระทั่งคนก่อนจะกลายเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวเลยด้วยซ้ำ บางคนอาจเลือกจบชีวิตตัวเองหลักจากนั้น บางคนหมดศักยภาพการใช้ชีวิตจากแรงกระทบกระเทือนทางจิตใจ บางคนบอบช้ำเสียจนไม่กล้าจะเริ่มต้นใหม่ และบางคนต้องเข้ารับการบำบัด
จากเรื่องราวทั้งหมดความรุนแรงในความรุนแรงในครอบครัวจึงไม่ใช่แค่การกระทำของปัจเจกบุคคล แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างทางสังคมวิทยาที่มีหลักคิดและแรงขับเคลื่อนอันทรงพลัง วันนี้ความเข้าอกเข้าใจของคนในสังคมและการบังคับใช้กฎหมายเปิดทางให้เหยื่อมีที่ยืนมากยิ่งขึ้นก็จริง แต่สุดท้ายด้วยโครงสร้างระบบเหล่านี้ยังขีดจำกัดให้เหยื่อต้องเผชิญกับความโหดร้ายชนิดที่ไม่มีการยื่นมือช่วยเหลือจากใครก็ตาม บางครั้งคนใกล้ตัวก็เหมือนอยู่ห่างไกลจนเกินเอื้อมไปแล้ว ผู้เขียนจึงถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้และต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงเรื่องความรุนแรงในครอบครัวให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้น โว้กขอเป็นกำลังใจและพร้อมสนับสนุนเหยื่อความรุนแรงให้ก้าวผ่านช่วงเวลาอันโหดร้ายและสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างมั่นคง

