เกิดอะไรขึ้น...เมื่ออุตสาหกรรมบันเทิงสร้างปรากฏการณ์ พร้อมใจกันรีเมกซีรีส์ยุค 1990s-2000s
แล้วคุณล่ะ...คิดว่าจะ "รุ่ง" "รอด" หรือ "ร่วง"
เชื่อว่าตอนนี้ ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็คงหนีไม่พ้นลิสต์ซีรีส์รีเมกเกลื่อนตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่าซีรีส์ยุค 1990s-2000s ที่ฟื้นคืนชีพกลับมาทำให้เหล่าคนเจน Z งงกันเป็นไก่ตาแตกว่ามันคือปรากฏการณ์อะไรกันแน่ ในขณะที่คนโตมากับซีรีส์เหล่านั้นก็พากันเฮโลตื่นเต้น ที่จะได้กลับไปดื่มด่ำบรรยากาศเดิมๆ เหมือนครั้งที่ตัวเองยังเป็นวัยรุ่น แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะคิดแบบนั้น เพราะก็มีจำนวนไม่น้อยที่ยังเคลือบแคลงใจถึงการดึงเอาซีรีส์ระดับพระกาฬเหล่านี้กลับมารีเมก (หรือปู้ยี่ปู้ยำ) อีกครั้ง... การท้าชนด้วยความโด่งดังระดับค้างฟ้าในครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะ 3 รายชื่อซีรีส์ที่ถูกนำมารีเมกในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ไม่ว่าจะเป็น FRIENDS, Sex And The City ที่ถูกจับใส่ตะกร้าล้างน้ำแล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น And Just Like That และ Gossip Girl ที่ลากนักแสดงหน้าใหม่มาทั้งชุดจนไม่เหลือเค้าเดิม ซึ่งก็ดูเหมือนจะเปิดตัวกันมาได้น่าสนใจทุกเรื่อง
เริ่มต้นกันที่ซีรีส์เรื่อง Friends ซีรีส์เวอร์ชั่นดั้งเดิมที่กินระยะเวลาฉายบนหน้าจอโทรทัศน์ยาวนานถึง 10 ปี ตั้งแต่ปี 1994–2004 เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อทั้ง 6 คน ไม่ว่าจะเป็นตัวละคร Rachel Green, Monica Geller, Phoebe Buffay, Joey Tribbiani, Chandler Bing และ Ross Geller ในฉากอพาร์ตเมนต์สีม่วงสุดไอคอนิกแสนธรรมดา กลางมหานครนิวยอร์ก ที่มีจำนวนตอนรวมกันมากถึง 236 ตอน และด้วยระยะเวลาอันยาวนานดังที่กล่าวไปนั้นจึงกลายเป็นจุดแข็งสำคัญที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้กลายเป็นเหมือนเพื่อนในชีวิตจริงคนหนึ่ง จากการแทรกซึมความเคยชินเข้าไปอยู่ในชีวิตของผู้ชมไปอย่างไม่รู้ตัว นั่นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนักที่เราจะได้เห็นเหล่าคนยุค 1990s ที่เติบโตมากับหน้าจอโทรทัศน์พร้อมกับซีรีส์เรื่องนี้ จะลุกขึ้นมาแสดงความตื่นเต้น ซาบซึ้ง และดีใจ ที่ทาง HBO MAX ได้ประกาศจะพานักแสดงนำทั้ง 6 ชีวิตกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในนามของรายการพิเศษ “Friends: The Reunion” ที่แม้ว่าจะไม่ใช่การกลับมาในรูปแบบของซีรีส์อย่างที่หลายคนคาดหวัง แต่เรตติ้งจากการเผยทีเซอร์แรกที่ทำสถิติได้สูงสุดถึง 15 ล้านวิวภายในเวลาแค่ 3 วัน ก็ดูเหมือนว่าจะการันตีได้แล้วว่า ซีรีส์เรื่องนี้ยังคงนั่งอยู่ในใจของใครหลายคน
ย้อนกลับไปในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากกลุ่มเพื่อนทั้ง 6 คนในอพาร์ตเมนต์นั้นแล้ว ยังมี 4 สาวอย่าง Sex and The City ถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางมหานครแห่งอิสรภาพแห่งนี้ตามหลังเฟรนด์สมาแค่สี่ปีเท่านั้น ทั้ง Carrie Bradshaw, Samantha Jones, Charlotte York และ Miranda Hobbes ไม่เพียงเข้ามาสร้างความปั่นป่วนด้วยการสร้างมาตรฐานการมิ๊กซ์แอนด์แมตช์เสื้อผ้าที่สูงลิบลิ่วให้กับอุตสาหกรรมแฟชั่น และสาวสายแฟ(ชั่น)ทั่วโลกเท่านั้น หากยังสั่นคลอนบรรทัดฐานแสนเชยของสังคมยุคโบราณ พร้อมวาดโลกใบใหม่ขึ้นมาด้วยการชูประเด็นของสตรีนิยม, ความสัมพันธุ์ทุกรูปแบบ, การเมือง และที่สำคัญคือ “เซ็กส์” อันโจ่งแจ้งที่ไม่อาจจะจินตนาการได้ว่ามันจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริงของคนทั่วไป ซึ่งแท้จริงแล้วซีรีส์เรื่องนี้มันควรจะจบไปตั้งแต่ซีซั่นที่ 6 เมื่อปี 2004 ทว่าด้วยกระแสนิยมอันคับคั่ง ทำให้เซ็กส์ แอนด์ เดอะ ซิตี้ ต้องมีภาคต่อเป็นเวอร์ชั่นภาพยนตร์ออกมาหลังจากนั้นถึง 2 ภาค ก่อนที่จะต้องเหยีบเบรก พับโปรเจกต์ภาค 3 ไปแบบไม่มีวันเกิดขึ้นจริง จากปัญหาส่วนตัวของเหล่านักแสดงนำ จนทำให้ใครหลายคนถอดใจไปแล้ว กระนั้นเมื่อช่วงปี 2020 ที่ผ่านมา เหล่าสาวกก็ได้กลับมาดีใจกันอีกครั้ง กับการคืนชีพซีรีส์ขึ้นหิ้งเรื่องนี้ ที่กลับมาในชื่อ “And Just Like That…” บอกเล่าเรื่องราวของตัวละครในวัย 50 ปี ท่ามกลางมหานครแห่งเดิมที่เปลี่ยนไป โดยเรื่องราวของสถานการณ์ปัจจุบันจะถูกหยิบยกมาพูดให้เชื่อมโยงกับยุคสมัยตามคำคุยโวของผู้กำกับ ที่เราก็ยังไม่รู้ว่าจะออกมาเข้าท่าสักแค่ไหน
WATCH
จากการกลับมารวมตัวกันทำรายการพิเศษ ไปจนถึงการรีเมกแบบเปลี่ยนชื่อเรื่อง ก็ถึงคิวของการถอนรากถอนโคน “รีเมกราวกับสร้างใหม่” กับซีรีส์ในตำนานของวัยรุ่นชาวอเมริกันอย่าง Gossip Girl ที่หลังจากข่าวการปัดฝุ่นสร้างใหม่นั้นแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วโลกโซเชียลมีเดีย เหล่าสาวกที่เคยชื่นชอบก็ต่างตื่นเต้นดีใจกันเสียยกใหญ่ ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้นจะตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ยกใหญ่เช่นเดียวกัน เมื่อทางผู้จัดได้ออกมาเปิดเผยว่า จะใช้โครงเรื่องน้ำเน่าชิงรักหักสวาทเช่นเดิม เหมือนกับเวอร์ชั่นดั้งเดิมที่ออกฉายครั้งแรกในปี 2007 แต่ซีรีส์เวอร์ชั่นรีเมกนั้นจะถูกผสมผสานความเป็นยุคสมัยใหม่เข้าไปทั้งเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อมรอบตัว ไปจนถึงทีมนักแสดงหน้าใหม่ ไร้สาวผมบลอนด์ หรือหนุ่มหล่อนัยน์ตาสีฟ้าชวนฝัน ทว่ากลับกลายเป็น “ความหลากหลากหลายทางเชื้อชาติ” และ “ความหลากหลายทางเพศ” ที่ทำเอาแฟนคลับที่แม้จะเคารพ และรับได้กับประเด็นของความหลากหลายในสังคมปัจจุบัน ยังท้วงติงว่า “เป็นการยัดเยียด” มากเกินไป
อย่างไรก็ตามกระแส “Nostalgia” หวนกลับไปสู่ความคิดถึงในยุค 1990s-2000s นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับวงการโทรทัศน์แม้แต่นิดเดียว และการที่เห็นว่ากระแสดังกล่าววนกลับมาบ่อยครั้งทั้ง ซีรีส์ ละคร หรือภาพยนตร์ ที่ถูกนำกลับมาผลิตซ้ำใหม่บ่อยๆ นั่นก็เพราะว่าเหตุผลทางการตลาดที่ดูจะได้กำไรมากกว่าจะต้องไปเสี่ยงผลิตงานใหม่ที่ก็ไม่รู้ว่าออกหัวหรือก้อย การนำ "เรื่องเก่า" มา "ทำใหม่" "ดัดแปลง" หรือ "ฉายซ้ำ" แน่นอนว่าจะได้กลุ่มผู้ชมเก่าแน่นอนไม่มากก็น้อย ส่วนกลุ่มคนดูใหม่ที่ต้องการตามหาความหมาย หรืออยากลองย้อนกลับไปสัมผัสบรรยากาศในอดีตที่ตัวเองเกิดไม่ทัน ที่เพิ่มขึ้นมาก็นับว่าเป็นกำไรได้ เฉกเช่นการนำซีรีส์ในยุค 1990s-2000s เหล่านี้กลับมา ก็ด้วยหากนับอายุคนที่เกิดและเติบโตมาในยุคนั้น ในปัจจุบันก็นับว่าเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังในการบริโภคสูงสุดในตลาดอย่างปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้นจึงวางเดิมพันได้เลยว่า ฐานคนกลุ่มเดิมที่เคยดันให้ซีรีส์เหล่านี้ดังเป็นพลุแตกมาแล้วในอดีตก็จะกลับมาติดตามการกลับมาของซีรีส์ที่เขาเคยชื่นชอบอย่างแน่นอน ส่วนจะ “รุ่ง” หรือ “ร่วง” ก็คงจะเป็นเรื่องของกลยุทธ์การสร้างคอนเทนต์พลิกแพลงของแต่ละเจ้า ซึ่งนั่นเองที่น่าจะเป็นงานหนักของเหล่าทีมงานที่ต้องขบคิดต่อไป
จากการเปิดตัวของโปรเจกต์ซีรีส์รีเมกทั้ง 3 เรื่องที่กล่าวไปแล้วข้างต้นนั้น เบื้องต้นผู้เขียนมองว่า ยังคงสามารถเรียกกระแสความนิยมจากโลกโซเชียลมีเดียได้อย่างคับคั่งทั้งความสนใจของคนกลุ่มเก่า และความสนใจของคนกลุ่มใหม่ สมราคากับความสำเร็จที่ซีรีส์เหล่านี้เคยสร้างไว้ในอดีต แต่นั่นก็ยังไม่อาจตัดสินได้ว่าซีรีส์รีเมกทั้ง 3 เรื่องจะไปได้สวยแบบตลอดรอดฝั่ง เพราะกลยุทธ์การรีเมกของแต่ละเจ้านั้นแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งการกลับมาในรูปแบบใหม่, การสานต่อเรื่องราวที่ค้างคาไว้ ไปจนถึงการนำกลับมาสร้างในเวอร์ชั่นใหม่ ทีนี้ก็ตกเป็นภาระการตัดสินของผู้ชมแล้วล่ะว่า เรื่องไหนจะ “รุ่ง” “รอด” หรือ “ร่วง”...
ข้อมูล : HBO, Glamour, Vogue US, Marketeer Online, Wikipedia-Gossip Girl (2021 Series) และ www.nytimes.com
WATCH