กำลังเป็นกระแสร้อนสำหรับภาพยนตร์เรื่อง TENET ของผู้กำกับฝีมือชั้นครูอย่าง Christopher Nolan โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกพูดถึงอย่างมากในเชิงการใช้ทฤษฎีเข้ามาประกอบการชม มีการคิดค้นหลักความคิดต่างๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์มากมาย และนั่นทำให้การดูภาพยนตร์ในโรงไม่ได้จบเพียงรอบเดียว! ตอนนี้ผลงานชิ้นล่าสุดของโนแลนสร้างปรากฏการณ์อีกครั้งโดยการเป็นภาพยนตร์ที่ทำงานสูงที่สุดในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก กวาดเงินไปกว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 4,700 ล้านบาททั่วโลก และ 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 628 ล้านบาทในประเทศสหรัฐอเมริกา

     ต้องบอกก่อนว่ารายได้มหาศาลขนาดนี้ก็ยังไม่ตามเป้าของทีมสร้างมากนักแต่ก็ถือว่าน่าพอใจในระดับหนึ่ง เพราะตลาดภาพยนตร์ในสหรัฐฯ ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในโลกเปิดทำการเพียง 65 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น โดยสถานการณ์โควิดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ทำให้ทีมงานยอมรับผลตรงนี้อย่างเข้าใจอกเข้าใจพร้อมทั้งมองว่า “เราไม่สามารถเปรียบเทียบภาพยนตร์ที่เปิดตัวช่วงโควิดกับเรื่องไหนๆ ได้เลยในสถานการณ์อื่นๆ ได้เลย” แต่ไม่ว่าจะมองโลกแง่บวกอย่างไรโนแลนและทีมงานก็ยังต้องคิดถึงภาพรวมรายได้อยู่ดี เพราะจากจำนวนล่าสุดแม้จะทำผลงานได้ดีในกรอบเวลาโควิด ทว่ามันอาจไม่เพียงพอต่อการยับยั้งคำว่า “ขาดทุน”

     จากจำนวนได้รายการในสถานการณ์นี้อาจทำให้คนตื่นเต้นและประหลาดใจจนถือเป็นปรากฏการณ์ก็ว่าได้ แต่ถ้ามองโลกความจริงกันอีกรอบ ภาพยนตร์ย้อนมิติเวลากลับพาโนแลนย้อนไปหาจุดที่ภาพยนตร์ตัวเองทำเงินได้น้อยที่สุด เป็นรองเพียง Prestige เมื่อปี 2006 ตอนนี้เป้าหมายของทีมผู้สร้างคือ 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากทั่วโลก นั่นแปลว่าพวกเขาจะดัน TENET ให้ทำเงินอีกกว่า 350 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว ถึงเลขอาจจะดูมหาศาล หากมองกลับกันภาพยนตร์เรื่องนี้ยังมีโอกาสเข้าฉายในตารางอีกนานกว่าภาพยนตร์ช่วงก่อนโควิดหลายเท่า เพราะผู้ชมไม่ได้กรูเข้ามาชมในสัปดาห์แรกหรือสัปดาห์ที่ 2 อย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะค่อยๆ ทยอยมาชมเป็นระยะ นั่นทำให้อายุของ TENET ในโรงจะถูกต่อยอดออกไปเรื่อยๆ และแน่นอนว่ามีสิทธิ์ทำรายได้เพิ่มขึ้นตามมา มากไปกว่านั้นภาพยนตร์เรื่องนี้ยังมีจุดชูโรงเรื่อง IMAX ที่จะสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับผู้ชม ตัวเลขอีก 350 ล้านอาจไม่ไกลเกินเอื้อม เพราะเราเชื่อว่าหลายคนที่ก้าวเท้าเข้าโรงไป 1 รอบมีโอกาสเตรียมซื้อตั๋วรอบ 2 ไปชมเพิ่มอย่างแน่นอน