Harry Benson คือชื่อของช่างภาพศิลปินระดับตำนาน ตลอดช่วงชีวิตการทำงานเขามีโอกาสได้ตามถ่ายภาพศิลปินชื่อก้องโลกมากมาย เช่น Michael Jackson, Prince, The Rolling Stones, James Brown หรือแม้กระทั่ง The Beatles หนึ่งในวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

     ย้อนกลับไปในทศวรรษ 60 ช่วงเวลาที่ “สี่เต่าทอง” กำลังขีดเขียนเส้นทางบนถนนสายดนตรี Harry Benson ได้เกาะติดสอยห้อยตามพวกเขาไปแทบทุกที่ ลั่นชัตเตอร์บันทึกโมเมนต์ต่างๆ ก่อนที่ภาพถ่ายเหล่านั้นจะกลายเป็นตำนานในภายหลัง ซึ่งหนึ่งในชุดภาพถ่ายที่ประทับในความทรงจำของแฟน The Beatles มากที่สุด และกระฉ่อนไกลไปถึงวงการหมัดมวยด้วย แน่นอนว่าคือชุดภาพถ่ายที่เป็นการจับ The Beatles มาอยู่ในเฟรมเดียวกับ Muhammad Ali  ผ่านกริยาท่าทางที่ชวนเรียกรอยยิ้มได้เป็นอย่างดี อีกทั้งความน่าสนใจของมันคือการที่ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นสุดยอดแห่งวงการตัวเอง เรียกได้ว่าเป็นการปะทะกันของ 2 ราชา

Harry Benson ช่างภาพศิลปินระดับตำนาน

 

     เชื่อว่าหลายคนน่าจะคุ้นตากับภายถ่ายชุดดังกล่าว แต่อาจจะยังไม่รู้เรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง….

     ครั้งแรกที่ The Beatles กับ Muhammad Ali ได้เจอกันคือในปี 1964 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตของทั้ง 4 นักดนตรี กับ 1 นักมวย ก็ว่าได้

     สำหรับ The Beatles ในช่วงเวลาดังกล่าวพวกเขาได้ออกอัลบั้มมาแล้ว 2 ชุด นั่นก็คือ Please Please Me (1963) และ With the Beatles (1963) ซึ่งแน่นอนว่าทั้ง 2 อัลบั้มประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย ผลักดันให้คณะดนตรีสี่เต่าทองกลายเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งเกาะอังกฤษ ทว่าสำหรับในแผ่นดินอเมริกาเรียกได้ว่าพวกเขาแทบจะเป็นโนบอดี้ เป็นวงดนตรีที่มีคนรู้จักเพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น

     ดังนั้นในปี 1964 เพื่อต้องการยึดครองอเมริกาซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดให้สำเร็จ The Beatles จึงลัดฟ้าจากเมืองลิเวอร์พูลสู่แผ่นดินลุงแซมพร้อมกับแผนการโปรโมตและทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกในประเทศแห่งนี้ 

 

     The Beatles มีวางแผนไว้ว่าจะอยู่ในอเมริกาทั้งหมด 11 วัน โดยในช่วงแรกของตาราง พวกเขาได้ไปออกรายการ Late Show ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในยุคนั้นอย่าง The Ed Sullivan Show และทั้ง 4 หนุ่มก็สามารถสร้างปรากฏการณ์ได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นบทเพลงที่ใช้แสดงในรายการ รวมถึงเสน่ห์อันล้นเหลือ ถึงขั้นที่ว่า Rolling Stone นิตยสารวงการดนตรีชื่อดังได้ให้คำนิยามการไปออกรายการ The Ed Sullivan Show ของ The Beatles ในครั้งนั้นไว้ว่า

     “การปรากฏตัวของ The Beatles ใน The Ed Sullivan Show คือหนึ่งในหมุดหมายสำคัญของประวัติศาสตร์ดนตรี ไม่ต่างอะไรจากเทศกาลดนตรี Woodstock หรือ คอนเสิร์ต Live Aid”

     หลังจากสร้างประวัติศาสตร์ใน The Ed Sullivan Show เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภารกิจต่อไปของ The Beatles คือการทัวร์คอนเสิร์ตตามหัวเมืองต่างๆ อย่างไรก็ตามเพื่อโปรโมตชื่อเสียงในประเทศสหรัฐอเมริกา พวกเขายังมีโปรแกรมเล็กๆ ที่ต้องทำ นั่นคือ “การถ่ายรูปร่วมกับนักมวยระดับแชมเปี้ยน”

     ในช่วงเวลาเดียวกัน Muhammad Ali  ซึ่งขณะนั้นยังใช้ชื่อว่า Cassius Marcellus Clay Jr. ก็กำลังจดจ่ออยู่กับภารกิจสำคัญในชีวิตไม่ต่างกัน เขาคือนักมวยดาวโรจน์ที่น่าจับตามอง ที่มาพร้อมกับสถิติชกชนะ 19 ไฟต์รวด ยังไร้พ่าย แต่ในแง่ของชื่อเสียงถือว่าไม่ใช่ขั้นซูเปอร์สตาร์ โดยอีกไม่กี่วันข้างหน้าเขาต้องขึ้นชกกับ Sonny Liston เพื่อชิงเข็มขัดแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวท 3 สถาบัน นี่คือการชกชิงแชมป์โลกครั้งแรกของ Ali  และตามหน้าเสื่อเขาเป็นรองประตู

     ในเมื่อโอกาสชนะมีน้อยนิด สิ่งที่ Ali ต้องทำก็คือการซ้อม ซ้อม และซ้อมให้หนักที่สุดเท่าที่จะทำได้ โปรแกรมในแต่ละวันของเขาจึงแน่นตาราง ทว่าอยู่ๆ วันหนึ่งเขาก็ต้องหยุดซ้อมชั่วคราว เพื่อทำภารกิจพบปะกับวงดนตรีจากประเทศอังกฤษที่เขาเองยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ สิ่งนี้สร้างความหงุดหงิดใจแก่ Ali ไม่น้อย

     ฝั่ง The Beatles เองก็ไม่ต่างกัน พวกเขาเดินทางไปยัง 5th Street Gym ไมอามี่ บีช รัฐฟลอริดา ด้วยความหงุดหงิด เนื่องจากในตอนแรกพวกเขาต้องการถ่ายรูปกับ Sonny Liston นักมวยแชมป์โลกเฮฟวี่เวทชื่อดัง อีกทั้งยังถือเป็นนักมวยขวัญใจของพวกเขาอีกด้วย แต่พวกเขากลับโดนปฏิเสธอย่างไม่ใยดี นั่นก็เพราะ Liston ไม่ต้องการให้อะไรมารบกวนสมาธิรวมถึงการซ้อมของเขาดังนั้นเมื่อไม่มีทางเลือกพวกเขาจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็น Cassius Marcellus Clay Jr. นักมวยรองบ่อนแทน

     เมื่อมาถึง 5th Street Gym พวกเขากลับไม่เจอตัว Ali นั่นยิ่งทำให้อารมณ์ของทั้งสี่หนุ่มเดือดดาลขึ้นไปอีก

     “พวกเขาเป็นเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ สี่คน ผมยาวสลวย มาพร้อมกับแจ็คเก็ตคาร์นาน่าสีขาว”

     “เมื่อรู้ว่า Clay ยังมาไม่ถึง พวกเขาก็แสดงท่าทีไม่พอใจ ถึงขั้นที่สบถด่าออกมาเลยทีเดียว แต่ก่อนที่พวกเขาจะขอตัวกลับ ก็โดนทีมงานของเคลย์ขอร้องแกมบังคับให้อยู่รอ โดยพวกเขาต้องไปนั่งรอในห้องแต่งตัวแคบๆ ผมก็ไปนั่งกับพวกเขาด้วย ระหว่างรอทั้ง 4 คนก็พูดกับผมอย่างสนุกปากว่า ‘มาทายกันดีกว่าว่า Clay จะโดน Liston น็อคในยกไหน’”

     “หลังจากรออยู่ประมาณ 15-20 นาที Clay ก็ปรากฏตัวขึ้น” Robert Lipsyte นักข่าวจาก The New York Times ที่ถูกส่งตัวมาทำข่าวในวันนั้นเผยกับ Rolling Stone

     Lipsyte ยังเล่าต่อว่าเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอารมณ์หงุดหงิดของสมาชิกวง The Beatles ถึงพลันหายไปโดยสิ้นเชิงเมื่อเจอกับ มูฮัมหมัด Ali ถ้าไม่เพราะกลัวจะโดน อาลี อัด ก็คงเป็นเพราะเสน่ห์ของ Ali ที่สะกดพวกเขาได้อยู่หมัด

     “สวัสดี The Beatles เรามาเริ่มงานกันเถอะ มาทำโชว์ไปด้วยกัน พวกเราจะรวยไปด้วยกัน!” นี่คือประโยคที่ Ali ทักทาย The Beatles ซึ่งสามารถเรียกเสียงหัวเราะได้ไม่น้อย พร้อมทำลายกำแพงน้ำแข็งที่มีจนหมดสิ้น เพราะหลังจากประโยคนี้ทั้งสองฝ่ายก็เข้าหากันอย่างเป็นมิตร ก่อนที่จะเริ่มถ่ายภาพ

     Benson พา 4 นักดนตรีและ 1 นักมวยตระเวนไปทั่วโรงฝึก พร้อมบอกให้พวกเขาออกแอ็กชั่นท่าทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นท่า The Beatles โดน Ali ต่อยจนตัวเอียงเป็นโดมิโน่ หรือให้ The Beatles นอนกองอยู่บนพื้นสังเวียน ราวกับโดนหมัดของ Ali ซัดลงไป

     “พวกคุณก็ไม่ได้โง่อย่างที่เห็นนะ” Ali กล่าวติดตลกกับทั้งสี่หนุ่มในช่วงหนึ่งของการถ่ายภาพ

     “ใช่พวกเราไม่ได้โง่ แต่คุณน่ะดูโง่มากเลย” John Lennon สวนกลับ ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงหัวเราะร่าของทุกคน รวมถึงตัว Ali เองด้วย

     จากที่เริ่มต้นด้วยการเขม่นหมั่นไส้กัน กลายเป็นว่าวันนั้นจบลงด้วยต้นไม้แห่งมิตรภาพที่งอกเงยขึ้น โรงฝึก 5th Street Gym คละคลุ้งไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานกันอีกหลายเรื่อง จนกระทั่งการถ่ายภาพเสร็จสิ้นลง ก็ถึงเวลาที่ต้องแยกย้าย

     “ผมชอบคุณนะ Clay แต่ขอโทษด้วยที่ผมต้องพนันเงินทั้งหมดลงไปกับ ลิสตัน” Ringo Starr กล่าวทิ้งท้ายก่อนทีจะโบกมือลากัน ส่วน Ali ที่ไม่ได้รู้จัก Thea Beatles เลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุผลด้านธุรกิจแต่หลังจากได้ถ่ายรูปและพูดคุยกัน ความคิดของ Ali ก็เปลี่ยนไป เขายอมรับว่า 4 หนุ่มเจ้าสำอางจากประเทศอังกฤษพวกนี้น่าสนใจไม่น้อย

     หลังจากวันนั้นต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายไปสร้างตำนานในเส้นทางของตัวเอง โดย The Beatles หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ 11 วันในแผ่นดินอเมริกา พวกเขาก็บินกลับประเทศอังกฤษบ้านเกิด ก่อนที่จะปล่อยอัลบั้มออกมาอีก 11 อัลบั้ม และตัดสินใจยุบวงไปในปี 1970 แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะสลักชื่อ The Beatles ให้คงอยู่ในโลกดนตรีไปตลอดกาล

     ส่วน Ali เขาสามารถช็อกโลก เอาชนะน็อก Liston และคว้าเข็มขัดแชมป์โลกมาครองได้สำเร็จ เป็นจุดเริ่มต้นให้ชื่อ Muhammad Ali กลายเป็นนักมวยระดับซูเปอร์สตาร์ ก่อนจะสร้างตำนานประดับวงการมวยไปอีกยาวนาน

     โดยในตอนที่ Ali น็อก Liston ได้ เขาตะโกนออกมาว่า

     “I’m the greatest” 

     ในปี 1973 หรือ 9 ปีต่อมา Ringo Starr อดีตสมาชิก The Beatles ก็ได้ปล่อยเพลงที่ชื่อว่า I’m the greatest ที่แต่งโดย John Lennon อดีตเพื่อนร่วมวงออกมา ถึงแม้ในเนื้อเพลงจะไม่ได้กล่าวถึง Ali แต่ก็เชื่อได้ว่า Lennon ได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากเรื่องราวของ Ali

     Ali เสียชีวิตลงในวันที่ 3 มิถุนายน ปี 2016 ซึ่งทันทีที่รู้ข่าว ทั้ง Paul McCartney และ Ringo Starr 2 สมาชิกของ The Beatles ที่ยังมีชีวิต ต่างก็ออกมาเขียนข้อความรำลึกถึงสุดยอดนักมวยผู้นี้ผ่านทางทวิตเตอร์

     “ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง Muhammad Ali ด้วยสันติภาพและความรัก” Ringo Starr

     “ผมรักชายคนนี้ เขายอดเยี่ยม นับตั้งแต่วันแรกที่เราพบกันที่ไมอามี่ และอีกหลายครั้งที่ผมได้พบกับเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากการเป็นนักมวยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วเขายังเป็นคนที่สุภาพอ่อนโยนมีอารมณ์ขัน โลกได้สูญเสียชายผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงไปแล้ว” Paul McCartney

     นอกจากมิตรภาพที่สวยงามแล้ว การถ่ายรูปร่วมกันในวันนั้นยังเป็นการเริ่มต้นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันระหว่าง เมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี้ บ้านเกิดของ Ali กับเมืองลิเวอร์พูล บ้านเกิดของ The Beatles

     เมื่อ Carly Johnson และกลุ่มนักร้องจากเมืองหลุยส์วิลอีกหลายคนได้เดินทางไปเปิดการแสดงที่ Cavern Club และ Sound City สถานที่ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านหลังแรกของวงสี่เต่าทองในตอนที่ยังไม่มีชื่อเสียง

     ในทางกลับกันก็มีกลุ่มนักมวยจากเมืองลิเวอร์พูลได้เดินทางสู่เมืองหลุยส์วิลล์เพื่อเยี่ยมเยือน TKO Gym โรงฝึกประจำของ Ali โดยมีจุดประสงค์เพื่อซึมซับอุดมคติ แสดงความเคารพ และสร้างแรงบันดาลใจ เพราะไม่ว่าใครก็สามารถเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้

     นี่คือเรื่องราวทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ภายใต้รูปถ่ายเพียงไม่กี่ใบ ที่ในวันนั้นทั้ง The Beatles และ Ali เองก็คงไม่คาดคิดเหมือนกันว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ และมันจะยังคงเป็นเช่นนั้นไปตลอดกาล