LIFESTYLE

จาก Lost in Translation ถึง Her จดหมายชีวิตและความรักที่ซ่อนอยู่ในเรื่องราวบนแผ่นฟิล์ม

ภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กัน ดำเนินเรื่องอยู่ในโลกคนละใบ ตัวละครคนละคน แต่มันกลับเป็นจดหมายสื่อแทนความในใจที่อดีตคู่รักส่งหากัน

คำอธิบายภาพ: Spike Jonze และ Sofia Coppola

 

ถึงจะไม่รู้ภูมิหลังใดๆ มาก่อน แต่ถ้าใครที่เคยรับชมภาพยนตร์เรื่อง Lost in Translation (2003) และ Her (2013) ก็คงพอจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอาย รสชาติที่คล้ายกัน รวมถึงความเชื่อมโยงกันในบางแง่มุม ภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กัน ดำเนินเรื่องอยู่ในโลกคนละใบ ตัวละครคนละคน อีกทั้งยังเข้าฉายห่างกันกว่าทศวรรษ แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Lost in Translation และ Her ถูกหยิบยกมากล่าวถึงด้วยกันอยู่บ่อยครั้งก็เพราะชื่อของคนที่นั่งแท่นเป็นผู้กำกับ

 

Lost in Translation กำกับ และเขียนบทโดย Sofia Coppola หนึ่งในผู้กำกับหญิงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงเพราะเธอเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของ Francis Ford Coppola ผู้กำกับระดับตำนานแห่งฮอลลีวูด แต่ความยอดเยี่ยมของผลงานต่างหากที่พาเธอเดินทางมาถึงตรงนี้ ส่วน Her กำกับโดย Spike Jonze ผู้กำกับหนุ่มใหญ่ที่มีชื่อเสียงและฝีมือจัดจ้านไม่แพ้กัน ในปี 2020 Sofia และ Spike อาจจะไม่ได้มีความข้องเกี่ยวกันแล้ว แต่ถ้าย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษที่ 90 พวกเขาคือคู่รักผู้กำกับที่คนทั้งวงการจับตามอง ก่อนที่จะเดินจับมือกันเข้าประตูวิวาห์กันไปอย่างหวานชื่น แต่มีพบก็ต้องมีจาก มีรักก็ต้องมีเลิก Sofia และ Spike ก็เช่นกัน โลกสีชมพูของพวกเขาไม่อาจคงอยู่ได้ตลอดไป เพราะในปี 2003 ทั้งคู่ก็หย่าร้างกัน ก่อนที่หลังจากนั้น Lost in Translation และ Her จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ตามลำดับ ผู้ชมบางส่วนลงความเห็นอย่างมั่นใจว่า ทั้งสองเรื่องไม่ใช่ภาพยนตร์ธรรมดา แต่เป็นจดหมายสื่อแทนความในใจที่อดีตคู่รักส่งหากัน

คำอธิบายภาพ: Spike Jonze และ Sofia Coppola

 

การแต่งงานเพื่อเรียนรู้

“ความประทับใจแรกที่มีต่อ Sofia คือเธอเป็นคนเงียบๆ และสง่างาม เธอมีรสนิยมดี มีการตัดสินใจที่ละเอียดอ่อน ที่สำคัญคือมีมุมมองที่ชัดเจนมากๆ” Spike กล่าว

 

Sofia และ Spike พบกันครั้งแรกในปี 1992 เป็นตอนที่ โซเฟีย บังเอิญเข้าไปเยี่ยมกองถ่ายมิวสิควิดิโอเพลง 100% ของวง Sonic Youth ซึ่ง Spike นั่งแท่นเป็นผู้กำกับ ทั้งคู่ได้สนทนากัน และก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน ที่ค่อยๆ พัฒนาเติบโตไปเรื่อยๆ ผ่านกาลเวลาหลายปี  “หลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันแทบทุกวัน”  “ในตอนแรก Spike พยายามก้าวผ่านเฟรนด์โซน แต่มันก็ไม่สำเร็จเสียทีเพราะเขาพยายามทำตัวดีเกินไป สุภาพเกินไป ส่วน โซเฟีย กลับมีความคิดประมาณว่า ‘โชว์ด้านมืดของคุณให้ฉันเห็นหน่อยสิ’ มันเลยใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าที่ความสัมพันธ์จะพัฒนาไปเกินเพื่อน” Adam Yard เพื่อนสนิทของ Spike กล่าวกับ The New York Times

 

นอกจากนั้น Spike ยังมีความประหลาดในตัวที่ยากจะมีใครหยั่งถึง เช่นครั้งหนึ่งเขาเคยไปรับ Sofia ที่สนามบินด้วยชุดคนอ้วนที่มีการยัดนุ่นเอาไว้ข้างใน เมื่อ Sofia มาเห็นเธอก็ทำหน้างงๆ อึ้งๆ ไม่รู้จะรับมือกับสิ่งนี้ยังไง “เขาคงไม่อยากให้ดอกไม้เพราะมันธรรมดาไป แต่ผมว่า Sofia คงอยากได้ดอกไม้มากกว่า” Adam กล่าวต่อ อย่างไรก็ตามการที่ทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้กำกับ นักเขียนบท ย่อมทำให้เข้าใจกันในเรื่องต่างๆ ได้ดี มีไลฟ์สไตล์ที่คล้ายกัน และยังส่งอิทธิพลต่อกันอย่างมากอีกด้วย “ผมอ่านงานเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเธอ ส่วนเธอก็อ่านงานเขียนของผมทุกตัวอักษรเช่นกัน พวกเรามีอิทธิพลซึ่งกันและกัน”  “แต่ในเรื่องคำแนะนำต่างๆ พวกเราต่างฝ่ายต่างก็ค่อนข้างดื้อ ไม่ยอมรับฟังกันเลย เราไม่ได้ถูกสร้างให้มาทำงานร่วมกัน” Spike กล่าว

คำอธิบายภาพ: ตัวละคร Bob และ Charlotte ใน Lost in Translation

 

หลังจากที่คบหาดูใจกันนานหลายปี ในปี 1999 ทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกันท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกของไร่องุ่น ณ นาปาวัลเล่ย์ ที่มี Francis Ford Coppola เป็นเจ้าของ เพียงแต่ก่อนที่จะถึงวันนี้รอยร้าวในความสัมพันธ์ก็ได้เริ่มแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว “นั่นไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีในการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต แต่เราอยู่ด้วยกันมานาน มันก็คงถึงเวลายกความสัมพันธ์ ตอนนั้นฉันเครียดมากๆ และไม่มีเวลาไตร่ตรองให้ดี”  Sofia กล่าวย้อนความหลังถึงวันที่ Spike ขอเธอแต่งงาน ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ The Virgin Suicides ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกในชีวิตของเธอเปิดกล้อง Sofia ต้องการบอกให้ทราบว่าตอนนั้นสำหรับหญิงสาววัยรุ่น การได้กำกับภาพยนตร์เรื่องยาวมันคือโอกาสครั้งสำคัญที่เต็มไปด้วยความกดดัน และความกดดันนั้นก็ยิ่งเท่าทวีคูณเมื่อเธอต้องมาตัดสินใจเรื่องการแต่งงาน ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์ระหว่างระหว่าง Sofia กับ Spike ในปี 1999 ก็ไม่ได้อยู่ในช่วงหวานชื่นแล้ว เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าว Spike กำลังมือขึ้นสุดๆ ในเส้นทางอาชีพผู้กำกับ เขาจึงไม่ค่อยมีเวลาให้ฝ่ายหญิงเท่าไรนัก ปล่อยให้เธอต้องเหงา โดดเดี่ยว อยู่บ่อยครั้ง

 

ผ่านไปแค่ 4 ปี ในปี 2003 ทั้งคู่ก็ได้หย่าร้างกันอย่างเป็นทางการ โดยเหตุผลทางกฎหมายที่ให้ไว้ก็เป็นเพียงประโยคสั้นๆ ว่า “ความแตกต่างที่ไม่สามารถเข้ากันได้”  “มันคือความสัมพันธ์ในวัยเยาว์ มันไม่ใช่ชีวิตที่เหมาะสมกับฉันที่จะต้องอยู่กับเขาตลอดไป เขามีสิ่งที่ต้องการ ฉันเองก็เช่นกัน แต่มันเป็นคนละสิ่งกัน ฉันเลยไม่เคยรู้สึกว่าถูกเติมเต็มเลย”  

“ฉันไม่แต่งงานกับคนที่ใช่ เราไม่ได้จบลงด้วยดี และตอนนี้เราก็ไม่ได้ติดต่อกันแล้ว”  

“ฉันขอเรียกการแต่งงานครั้งนั้นว่าเป็นแบบฝึกหัดของฉัน มันก็สนุกดีและตอบสนองจุดประสงค์ของมันได้ แต่ตอนนี้ฉันมักจะบอกลูกๆ เสมอว่าอย่าแต่งงานก่อนอายุ 30 หรืออย่าแต่งจนกว่าจะรู้จักตัวเองดีพอ” Sofia ออกมากล่าวถึงการแต่งงานครั้งนั้นในภายหลัง ส่วน Spike หลังจากที่หย่าร้างกันไป เขาก็เคยออกมากล่าวถึงความสัมพันธ์ดังกล่าวสั้นๆ เพียงครั้งเดียวว่า “Sofia เป็นส่วนสำคัญในชีวิตของผม เป็นส่วนสำคัญในการสร้างตัวตนของผมในทุกวันนี้”



WATCH




คำอธิบายภาพ: ความเปลี่ยวเหงาของตัวละคร Charlotte

 

จากเธอถึงเขา

Lost in Translation ภาพยนตร์จากการกำกับและเขียนบทของ Sofia Coppola เล่าเรื่องราวของ Charlotte หญิงสาวที่มาพร้อมประวัติสวยหรู เพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Yale ก่อนที่เธอจะต้องติดตามแฟนหนุ่มซึ่งเป็นช่างภาพชื่อดังมาทำงานที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น แต่เมื่อมาถึงเธอกลับต้องเผชิญความโดดเดี่ยวในเมืองอันไม่คุ้นเคย ต่างภาษาต่างวัฒนธรรม เนื่องจากแฟนหนุ่มเอาแต่ทำงาน แต่ในระหว่างที่กำลังจมอยู่ในความเปลี่ยวเหงา โชคชะตาก็นำพาให้ เธอ ได้มารู้จักกับ Bob ดาราหนุ่มใหญ่ชาวอเมริกัน ที่มาถ่ายทำโฆษณา ณ เมืองแห่งนี้เพียงลำพัง สองคนเหงาจึงได้เริ่มก่อความสัมพันธ์ขึ้น ก่อนที่มันจะถลำลึกไปเรื่อยๆ “ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้หมายถึง Spike แต่มันก็มีส่วนประกอบของเขารวมอยู่ด้วยเหมือนกัน” Sofia กล่าวถึง Lost in Translation และตัวละคร John แฟนหนุ่มของ Charlotte นางเอกของเรื่อง ที่ถึงแม้จะเป็นตัวละครสมทบ โผล่มาแค่ไม่กี่ฉาก แต่การที่ John เป็นช่างภาพชื่อดัง บ้างาน จนทิ้ง Charlotte ให้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในกรุงโตเกียว มันช่างดูคล้ายกับ Spike จนทำให้อดคิดไม่ได้เหมือนกัน

 

นอกจากนั้นในปี 1999 ที่ Spike เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง ทำงานหนักจนไม่มีเวลาให้ โซเฟีย ก็เป็นช่วงเดียวกับที่เธอยกกองมาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Virgin Suicides ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ตัวละคร Charlotte ที่ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวในเมืองที่เธอไม่คุ้นเคย จึงเหมือนเป็นภาพสะท้อนของ Sofia ด้วยเช่นกัน “มันเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์จริงที่ฉันเคยสัมผัสในตอนที่ไปถ่ายทำ Virgin Suicides” Sofia อธิบาย ตัวละคร Charlotte กับ Sofia นั้นมีความคล้ายคลึงกันในหลายด้าน เช่นการเป็นคนมีต้นทุนทางสังคมสูง เหมือนจะเพียบพร้อมในทุกด้าน แต่กลับต้องจมอยู่กับความเปลี่ยวเหงาไม่มีใครเข้าใจ โดยในเรื่องมีหลายฉากมากๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความโดดเดี่ยวของ Charlotte

คำอธิบายภาพ: Theodore ภาพสะท้อน Spike Jonze ในภาพยนตร์เรื่อง Her

 

ฉากที่ตัวละคร Charlotte นั่งจ้องมองมหานครโตเกียวผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องพักคือหนึ่งในนั้น ในฉากนี้ Charlotte ถูกทำให้ดูตัวเล็กลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ดูไม่เข้ากันกับความวุ่นวายของเมืองด้านล่างอย่างสิ้นเชิง ไม่แน่ว่าตอนที่ถ่ายทำ Virgin Suicides Sofia ก็อาจจะเคยทำแบบเดียวกับตัวละครนี้ก็เป็นได้ นอกจากนั้นตลอดทั้งเรื่องมีหลายครั้งที่ Charlotte นอนอยู่บนเตียง แต่ผู้ชมไม่เคยเห็นเธอหลับเลยแม้สักครั้ง ส่วนใหญ่เธอมักจะนอนลืมตาด้วยใบหน้าเศร้าๆ หรือไม่ก็เปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปมาอย่างไร้จุดหมาย อีกหนึ่งประเด็นสำคัญของ Lost in Translation คือการที่ Charlotte รู้สึกแปลกแยกจากสามี Charlotte รู้สึกว่าสามีเธอที่กำลังโด่งดัง แวดล้อมด้วยซูเปอร์สตาร์ กำลังโดนโลกมายากลืนกินตัวตนไปหมดแล้ว และไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ดูจะขัดใจเขาไปหมดทุกเรื่อง

 

โดยในฉากหนึ่งทั้งคู่ได้ถกเถียงกัน ก่อนที่ John จะพูดออกมาว่า “ทำไมคุณต้องพยายามทำให้คนอื่นดูโง่ด้วย” ส่วน Charlotte เธอได้แต่แอบคิดเงียบๆ ว่าทำไมสามีของเธอถึงพยายามทำให้ทุกคนรอบข้างสบายใจ ยกเว้นเธอเพียงคนเดียวที่เขาไม่สนใจ นอกจากจะเป็นการระบายความรู้สึกที่ดูส่วนตัวมากๆ แล้ว Sofia ยังได้แนบความต้องการของเธอลงไปในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ความต้องการดังกล่าวมีตัวละคร Bob เป็นตัวแทน ทั้งๆ ที่เป็นคนแปลกหน้าที่พบกันอย่างบังเอิญ แต่ Charlotte กลับเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับ Bob พวกเขาคือคนเหงาที่ต้องเผชิญความรู้สึกแบบเดียวกัน เพราะ Bob เองก็โดดเดี่ยวในเมืองที่ไม่คุ้นเคย และมีความสัมพันธ์อันระหองระแหงกับคนรักเช่นกัน

 

ตลอดทั้งเรื่องผู้ชมจะเห็น Charlotte กับ Bob ออกไปตระเวนกรุงโตเกียว ทำกิจกรรมบ้าๆ บอๆ  ร้องเพลงด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน มันอาจจะดูไร้สาระ เป็นความสัมพันธ์ฉาบฉวยชั่วคราว แต่สิ่งที่เห็นคือรอยยิ้มของ Charlotte ที่แสดงออกถึงการมีความสุขจริงๆ โดยที่รอยยิ้มนี้มไม่เคยปรากฏในตอนที่เธออยู่กับสามีเลยสักครั้ง Lost in Translation จึงเป็นภาพยนตร์ที่ Sofia อยากจะใช้บอกกับ Spike กว่า เธอไม่ได้ต้องการคนรักที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงโด่งดัง ร่ำรวยเงินทอง แต่กลับปล่อยให้เธอต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว เธอเพียงต้องการคนรักธรรมดา ที่พร้อมจะเข้าใจและมอบความสุขให้กับเธอเท่านั้นเอง

คำอธิบายภาพ: Theodore และ Catherine เมื่อครั้งยังเป็นคู่รัก จากภาพยนตร์เรื่อง Her

 

จากเขาถึงเธอ

ผ่านไป 10 ปีหลังจากที่ทุกคนได้รู้จักกับ Lost in Translation  ภาพยนตร์เรื่อง Her ที่กำกับและเขียนบทโดย Spike Jonze ก็เข้าฉายตามมา และในเรื่องของข้อความที่พยายาม “ส่งถึงใครบางคน”  Her ดูจะชัดเจนมากกว่าเสียอีก…Her บอกเล่าเรื่องราวของ Theodore ชายหนุ่มวัยกลางคนที่จมอยู่กับความรักในอดีต ไม่สามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ ใช้ชีวิตอย่างเปลี่ยวเหงาอยู่ในมหานครอันกว้างใหญ่ จนกระทั่งเขาบังเอิญได้พบรักกับ Samantha เสียงของระบบปฏิบัติการสุดล้ำที่เข้าใจมนุษย์อย่างถ่องแท้ถึงเบื้องลึก ความสัมพันธ์ที่ดูแปลกประหลาดนี้ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น และสุดท้ายมันก็ได้เปลี่ยนชีวิตของ Theodore ไปตลอดกาล มองเพียงผิวเผินพล็อตเรื่องของ Lost in Translation กับ Her อาจจะดูไม่เหมือนกันเท่าไรนัก แต่ถ้าสำรวจลึกลงไปถึงแก่นแท้ก็จะพบว่าภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องบอกเล่าเรื่องราวของมนุษย์ผู้โดดเดี่ยว ที่จมอยู่กับห้วงอารมณ์เศร้าในรูปแบบของตัวเอง และไม่รู้เพราะความบังเอิญ หรือเหตุผลกลใด ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องต่างก็มี Scarlett Johansson แสดงนำ  เปลี่ยนจากโตเกียวเป็นลอสแอนเจลิส แต่ชะตากรรมของตัวละครเอกจากภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนั้นไม่ต่างกัน พวกเขาต่างจมอยู่ในความเปลี่ยวเหงา โดดเดี่ยว ไร้จุดหมาย โดยมีหลายฉากในเรื่อง Her ที่ตอกย้ำจุดนี้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นฉากที่ Theodore เดินอยู่ในบรรยากาศเมืองใหญ่ที่ทำให้ตัวเขาดูเล็กลง ท่ามกลางความวุ่นวาย ก็ดูจะคล้ายกับฉากที่ Charlotte นั่งมองกรุงโตเกียวเบื้องล่าง หรือฉากที่เขายืนอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าภายในลิฟต์ ที่เรียกได้ว่าแทบจะเป็นฉากเดียวกับที่เกิดขึ้นใน Lost in Translation หรือการที่ Theodore นั้นนอนอยู่ในห้องอันมืดมิด แต่กลับไม่สามารถข่มตานอนหลับได้ก็เช่นกัน

 

นอกจากนั้นทั้ง 2 ตัวละครยังจมอยู่กับปมปัญหาของตัวเอง ฝ่ายแรกเป็นทุกข์เพราะรู้สึกแปลกแยกจากทุกคน แม้กระทั่งคนรักของตัวเอง ส่วนฝ่ายหลังจมอยู่กับอดีตอันเจ็บปวด ที่ไม่สามารถดูแลคนรักของตัวเองได้ดีพอ จนนำไปสู่การหย่าร้าง และการที่ Lost in Translation ถ่ายทำในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่าง Sofia กับ Spike กำลังระหองระแหง ส่วน Her ถ่ายทำหลังจากทั้งคู่หย่าร้างกันไปนานแล้วก็ดูจะเป็นจิ๊กซอว์ที่พอเหมาะพอเจาะเสียเหลือเกิน “การที่ Theodore ตัวเอกจาก Her จมอยู่กับความรู้สึกผิดกับภรรยานักเขียนที่ประสบความสำเร็จสูง น่าจะมีความหมายแฝงอะไรบางอย่าง” Robert Stephenนักวิจารณ์ภาพยนตร์จาก The Gurdian ให้ความเห็น

คำอธิบายภาพ: Theodore ภาพสะท้อน Spike Jonze ในภาพยนตร์เรื่อง Her

 

อีกหนึ่งฉากสำคัญที่ส่งเสริมให้ Her เป็นภาพยนตร์ที่เปรียบเสมือนจดหมายตอบกลับของ Lost in Translation อย่างชัดเจนที่สุด และต่อให้ตัวผู้กำกับจะอยากปฏิเสธแค่ไหนก็ทำได้ยาก เพราะข้อความที่สื่อออกมานั้นค่อนข้างชัดเจน (อาจจะเป็นเหตุผลที่ Spike แทบจะไม่เคยออกมาพูดถึงภาพยนตร์เรื่อง Her ในแง่มุมนี้เลย) ฉากนั้นคือฉากที่ Theodore กับ Catherine ภรรยาของเขานัดมารับประทานอาหารกัน โดยจุดประสงค์หลักคือการเซ็นใบหย่า ฉากนี้มีความหมายแฝงหลายอย่างซ่อนเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาชีพของ Catherine ที่เป็นนักเขียนดัง ประสบความสำเร็จ เหมือนกับ Sofia ที่ก็เป็นผู้กำกับชื่อดังเช่นกัน หรือเหตุผลของการเลิกราที่ Theodore สารภาพออกมาว่าเป็นเพราะเขาสนใจแต่งาน ไม่รับผิดชอบความสัมพันธ์ให้ดีพอ โดยในตอนสุดท้าย…ตัวละคร Theodore ที่ตลอดทั้งเรื่องเขาไม่สามารถก้าวผ่านบาดแผลในใจเมื่อครั้งอดีต ได้ส่งจดหมายหา Catherine อดีตคนรักว่า

 

“ผมนั่งอยู่ที่นี่เพื่อคิดถึงทุกสิ่งที่ผมอยากจะขอโทษคุณ ความเจ็บปวดทั้งหมดที่เราทำให้กัน ทุกอย่างที่ผมทำให้คณ ทุกอย่างที่ผมต้องการให้คุณเป็นทุกอย่างที่ผมต้องการ ให้ผมได้ขอโทษสำหรับสิ่งเหล่านั้น ผมจะรักคุณเสมอเพราะเราเติบโตมาด้วยกันและคุณทำให้ผมเป็นอย่างที่ผมเป็น ผมแค่อยากให้คุณรู้ว่าจะมีชิ้นส่วนของคุณอยู่ในตัวผมตลอดไปและผมก็รู้สึกขอบคุณสำหรับสิ่งนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นคนแบบไหนไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดในโลกผมจะส่งความรักให้คุณ คุณเป็นเพื่อนของผมจนถึงที่สุด...รัก Theodore”

 

ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ Theodore เท่านั้นที่รู้สึกผิด อยากขอโทษ และหลังจากที่จมอยู่ในความรู้สึกนั้นมานาน ในที่สุดเขาก็สามารถก้าวผ่านมันไปได้เสียที Spike Jonze เองก็เช่นเดียวกัน ทุกอย่างที่เขาอยากบอกให้ Sofia ได้รับทราบ ถูกบรรจุอยู่ในจดหมายฉบับนี้หมดแล้ว

WATCH