เป็นที่ทราบกันดีว่า เครื่องบ่งฐานะทางสังคมของเหล่าสุภาพสตรีชั้นสูงนั้นหนีไม่พ้น “เทียร่า” หรือ “รัดเกล้า” (มงกุฎขนาดเล็ก) เครื่องประดับศีรษะในงานพิธีสำคัญของเหล่าเชื้อพระวงศ์ ที่มักจะถูกเลือกหยิบขึ้นมาสวมใส่อวดสายตาประชาชนอยู่เสมอ รัดเกล้าหลายองค์ถูกพูดถึงในแง่ของความสวยงาม ทว่ายังมีรัดเกล้าอีกหนึ่งองค์ที่ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ไหนก็ไม่คิดจะหยิบขึ้นมาสวมใส่ให้ประชาชนได้เห็นอีกเลยหลังจากนั้น...

     ย้อนกลับไปในยุคของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เจ้าชายอัลเบิร์ตผู้เป็นพระสวามีของพระองค์ในเวลานั้น ได้สั่งให้จัดทำรัดเกล้าองค์หนึ่งขึ้น ซึ่งเป็นรัดเกล้าหลักในสายราชวงศ์ Hesse and by Rhine ในชื่อว่า “Hesse Strawberry Leaf Tiara” (ซึ่งเป็นไปตามชื่อว่า มีลักษณะคล้ายใบของต้นสตรอว์เบอร์รี) เพื่อมอบให้กับเจ้าหญิงอลิซ พระธิดาของพระองค์ที่กำลังจะเข้าพิธีเสกสมรสกับหลุยส์ที่ 4 แกรนด์ดยุกแห่งเฮสส์แอนด์ไรน์ในเวลานั้น แต่กระนั้นเจ้าชายอัลเบิร์ตก็ชิงสิ้นพระชนม์เสียก่อนที่จะได้เห็นรัดเกล้าองค์นี้ประดับอยู่บนศีรษะของลูกสาวตัวเอง และนั่นเองที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “เรื่องโชคร้าย” ที่ถูกเล่าขานต่อมาไม่รู้จบสิ้น

     อาจจะเป็นเรื่องดีที่เจ้าชายอัลเบิร์ตไม่ได้เห็นพิธีเสกสมรสของพระธิดาของตน เพราะพิธีเสกสมรสดังกล่าวที่ควรจะเคลือบฉาบไปด้วยความสุข แต่กลับกลายเป็นพิธีเสกสมรสที่คละคลุ้งไปด้วยความเศร้าหมองของเจ้าหญิงอลิซและคนรอบข้าง เพราะในเวลานั้นคือช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของราชวงศ์ก็ว่าได้ เพราะหลังจากที่เจ้าชายอัลเบิร์ตพระสิ้นพระชนม์ สมเด็จย่าของเจ้าหญิงอลิซก็สิ้นพระชนม์ตามกันไปในช่วงเวลาที่ไล่เรี่ยกัน ทำให้พิธีเสกสมรสในครั้งนั้นจัดขึ้นอย่างเป็นส่วนตัว ไม่รับแขกภายนอก และสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงสวมเทียร่าองค์นั้นให้พระธิดาด้วยพระองค์เองทั้งน้ำตา ขนาดที่ว่ายังได้กล่าวไว้ในจดหมายว่า “อนิจจา พิธีเสกสมรสของอลิซไม่ต่างจากงานศพ”... แต่ยังไม่จบเท่านั้น ชีวิตที่เหลือของเจ้าหญิงอลิซผู้ได้ครอบครองรัดเกล้าองค์นั้น ก็ต้องพบกับความเศร้าโศกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นลูกชายเสียชีวิตด้วยอาการเลือดไหลไม่หยุด และลูกสาวของเธอเสียชีวิตด้วยโรคคอตีบด้วยอายุเพียง 4 ปีเท่านั้น กระทั่งตัวเธอเองที่เสียชีวิตลงในวัย 35 ปีด้วยโรคคอตีบเช่นเดียวกัน ส่วนลูกสาวที่เหลืออีก 2 คนของเจ้าหญิงอลิซที่ได้แต่งงานเข้าราชวงศ์โรมานอฟไปนั้น ก็ต้องพบจุดจบเช่นกัน ถูกสังหารในช่วงปฏิวัติรัสเซียเหมือนเชื้อพระวงศ์องค์อื่นๆ 

     เจ้าหญิงอลิซนับศักดิ์ได้เป็นยายทวดของเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ (พระสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ประมุขแห่งสหราชอาณาจักรปัจจุบัน) หลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงอลิซ รัดเกล้าองค์นี้ถูกส่งต่อความโชคร้ายจากรุ่นสู่รุ่น กระทั่งเมื่อครั้งที่ Hesse Strawberry Leaf Tiara ถูกส่งมอบต่อให้กับเจ้าหญิงเอเลนอร์ ผู้เป็๋นภรรยาคนที่สองในเจ้าชายเออร์เนสต์ หลุยส์ ดยุกแห่งเฮสส์ แอนด์ไรน์ ทว่าเจ้าหญิงเอเลนอร์ไม่ได้สวม Hesse Strawberry Leaf Tiara ออกงานสังคมบ่อยครั้งมากนักเท่ากับเจ้าหญิงองค์ก่อนๆ ที่เคยได้ครอบครองรัดเกล้าองค์นี้ อาจจะเพราะมิใช่องค์รัดเกล้าที่โปรดปราน ดังนั้นรัดเกล้าแห่งความโชคร้ายจึงถูกส่งต่อในรุ่นต่อไปอย่างรวดเร็ว

ภาพของเจ้าหญิงทั้ง 4 พระองค์ที่เคยได้ครอบครองรัดเกล้า Hesse Strawberry Leaf Tiara (จากซ้ายไปขวา) เจ้าหญิงอลิซ แห่งสหราชอาณาจักร/ เจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิธา แห่งเอดินบะระ/ เจ้าหญิงเอเลนอร์ แห่งโซล - โฮเฮนซอล์ม - ลิช และ เจ้าหญิงเซซิเลีย แห่งกรีซและเดนมาร์ก

 

     เมื่อครั้งที่เจ้าชายจอร์จซึ่งเป็นลูกชายคนโตของเจ้าหญิงเอเลนอร์ ได้เข้าพิธีเสกสมรส กับเจ้าหญิงเซซิเลียแห่งกรีซและเดนมาร์ก (ผู้ซึ่งเป็นพี่สาวของเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ) จึงได้รับ Hesse Strawberry Leaf Tiara เป็นของขวัญ และเรื่องราวแสนโชคร้ายก็เกิดขึ้นกับครอบครัวของเจ้าชายจอร์จ และเจ้าหญิงเซซิเลียทันทีเช่นกัน เมื่อทั้งคู่ต้องประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่ เสียชีวิตในอุบัติเหตุเครื่องบินตก ขณะกำลังเดินทางไปเข้าร่วมพิธีเสกสมรสของเจ้าชายหลุยส์ (น้องชายของเจ้าชายจอร์จ) ที่ประเทศอังกฤษ กระนั้นรัดเกล้า และเครื่องเพชรอีกหลายสิบชิ้นที่ถูกขนขึ้นเครื่องบินพระที่นั่งไปด้วยในครั้งนั้น ก็ไม่ได้รับความเสียหายมากนัก เนื่องจากผ่านกระบวนการบรรจุภัณฑ์อย่างดี รัดเกล้าองค์นี้จึงยังรอดมาได้ และถูกส่งต่ออีกครั้งให้กับคู่สมรสของเจ้าชายหลุยส์ในตอนนั้น นั่นคือ มาร์กาเรต แคมเบล เกดดีส ก่อนที่ต่อมาจะถูกส่งมอบเป็นครั้งสุดท้ายให้กับญาติห่างๆ ซึ่งเป็นประมุขคนต่อมาของราชวงศ์เฮสส์ และอยู่ในครอบครองจนกระทั่งทรงสิ้นพระชนม์เมื่อปี 2013 ที่ผ่านมา

     "เรื่องราวโชคร้าย" ที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ หรืออะไรก็แล้วแต่ บัดนี้ได้กลายเป็นเงาตามตัวของรัดเกล้าองค์ดังกล่าว และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Hesse Strawberry Leaf Tiara เชื่อกันว่ารัดเกล้าองค์นี้ถูกเก็บไว้ในคลังสมบัติของราชวงศ์เฮสส์  และไม่ถูกเลือกหยิบขึ้นมาสวมใส่อีกเลย