นาทีนี้ไม่มีใครไม่พูดถึงซีรี่ส์ LGBTQ+ ฟีลกู๊ดเรื่อง ‘Heartstopper’ ที่แม้ว่าจะเข้าฉายผ่านทางสตรีมมิ่ง Netflix มาได้สักพัก ทว่ากระแสความนิยมก็ยังคงพุ่งทะยานอย่างไม่หยุดหย่อน ด้วยเนื้อเรื่องความรักแสนละมุนละไมที่แตกต่างจากซีรี่ส์ LGBTQ+ หลายเรื่องที่มักจะมีเนื้อเรื่องแสนเศร้า ไม่สมหวัง จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ใครหลายคนต่างเคลิบเคลิ้มไปกับโลกของ Heartstopper ได้ไม่ยาก อีกทั้งบทซีรี่ส์ที่ถูกเขียนขึ้นอย่างเข้าอกเข้าใจกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ก็ยิ่งทำให้ซีรี่ส์เรื่องนี้เข้าไปอยู่ในใจของใครหลายคนได้ไม่ยาก

     หนึ่งในซีนที่น่าหยิบยกมาพูดถึงคงหนีไม่พ้นการแสดงของ Olivia Colman นักแสดงหญิงระดับออสการ์ที่ก้าวเข้ามารับบท Sarah Nelson แม่ของตัวละครหลัก Nick Nelson กับฉากการ Come Out ที่กลายเป็นที่พูดถึงว่า เป็นอีกหนึ่งฉากในอุดมคติ ที่ไม่ใช่เพียงการแสดงระดับเทพของโอลิเวียเท่านั้น หากบทของซีรี่ส์ที่ถูกเขียนออกมาได้อย่างดีเยี่ยม (ที่โว้กขอให้คุณไปดูด้วยตัวเอง) ก็กลายเป็นหนึ่งซีนที่ดีที่สุดของซีรี่ส์ LGBTQ+ ไปโดยปริยาย และช่วยชุบชูจิตใจให้ใครหลายคนกล้าที่จะ Come Out เพื่อประกาศตัวตนและสร้างหมุดหมายพื้นที่ยืนของตัวเองในสังคมอย่างเปิดเผยและเต็มภาคภูมิ

     กระนั้นก็เป็นเรื่องน่าตั้งคำถามต่อไปว่า “การ Come Out ในชีวิตจริงนั้นเป็นจุดจบอันสวยงามของเรื่องราวต่างๆ แบบในซีรี่ส์เรื่องนี้จริงหรือ”...

     สำหรับผู้เขียนมองว่า มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะหลังจากที่คนๆ หนึ่งตัดสินใจ Come Out ออกมาอย่างกล้าหาญแล้วนั้น คำถามต่อไปก็คือ “แล้วอย่างไรต่อ” หลังจากที่คุณโพล่งออกไปแล้วว่าคุณคือใคร “แล้วอย่างไรต่อ” หรือเมื่อคุณบอกกับคนรอบข้างแล้วว่าคุณเป็นใคร “แล้วอย่างไรต่อ” เพราะคุณอย่าลืมว่าหลังจากนั้นคุณจะยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้ ซึ่งไม่ได้สนับสนุนให้ประชากรมีความรู้เรื่อง ‘Gender’ อย่างกว้างขวางมากพอ อีกทั้งในทางกฎหมายก็ยิ่งขาดแคลนความเสมอภาคและความปลอดภัยที่จะมารองรับการใช้ชีวิตของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศอย่างน่าอดสู ยกตัวอย่างง่ายที่สุดอย่างประเด็นเรื่องการสมรสเท่าเทียม ที่ยังคงเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้นจนวินาทีนี้ที่ยังไม่ได้มันมา

     นอกจากคำถามนั้นแล้ว ยังมีอีกหนึ่งประเด็นที่เกิดขึ้นจริงในสังคมคือ ไม่ใช่ทุกคนที่อยากจะ Come Out หรือป่าวประกาศให้โลกใบนี้ได้รู้ว่าเขาคือใคร หรือเขากำหนดตัวเองว่าเป็นอะไร นั่นคือความจริงที่เราสามารถพบเห็นได้ในชีวิตจริง และการตัดสินใจไม่ Come Out ของกลุ่มคนเหล่านั้นก็ไม่ใช่ว่าเขาเกลียดกลัวกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ทว่าเขาเหล่านั้นอาจจะยังหาตัวตนของตัวเองไม่เจอ หรือแม้แต่ว่าเขาจะไม่ยอมประกาศตัวตนของเขาตลอดชีวิต นั่นก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่เราต้องเคารพ ซึ่งในซีรี่ส์เรื่อง Heartstopper ก็สะท้อนภาพส่วนนี้ออกมาได้อย่างน่าสนใจ กับฉากที่เริ่มมีการกดดันให้ตัวละคร Come Out ทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ในความเป็นจริงแล้วการ Come Out ไม่ได้เกิดขึ้นกับ LGBTQ+ ทุกคนเสมอไป

     ท้ายที่สุดแล้วผู้เขียนขอยืนยันว่านี่ไม่ใช่บทความในการบั่นทอนจิตใจ หรือกระชากทำลายห้วงความฝันในการ Come Out ของใครหลังจากดูซีรี่ส์เรื่อง Heartstopper จบ ทว่าคือบทความที่ตั้งใจสะกิดให้ทุกคนได้เตรียม ‘รับมือ’ กับคำถาม คำวิพากษ์วิจารณ์ และคำปลอบประโลม ที่กำลังจะประเดประดังเข้ามาหลังการ Come Out ของพวกคุณ และขอเป็นอีกหนึ่งเสียงในการให้กำลังใจให้ทุกคนสามารถกำหนดตัวตน และมีพื้นที่ยืนหยัดในสังคมนี้ได้อย่างเสรี พร้อมศักดิ์ศรีความเป็นคนที่มนุษย์คนหนึ่งพึงมี