LIFESTYLE

เปิดโลกอาชีพ 'แกลเลอริสต์' อีกหนึ่งกลไกสำคัญในวงการศิลปะที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง...แต่ทำรายได้มหาศาล

"อาชีพแกลเลอริสต์คือการตามหาคนที่ใช่...ถ้าคุณหาเจอ และบริหารเป็น รับรองว่ารวยเละ"

ตั้งแต่การค้นหาศิลปินผู้ส่งมอบแรงบันดาลใจไปจนถึงการวางรากฐานที่ถูกต้องในเรื่องของการศึกษาและการสร้างพื้นที่ที่เหมาะสม โว้กบอกเล่าถึงเส้นทางอาชีพในฐานะตัวแทนแกลเลอรี

 

หน้าที่ของตัวแทนแกลเลอรี (แกลเลอริสต์) ถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งในวงการศิลปะ ด้วยส่วนผสมที่ซับซ้อนของความชื่นชอบในผลงานและการดำเนินธุรกิจอย่างชาญฉลาด นับเป็นอาชีพที่ต้องมีแพชชั่นในการนำทางเหนือสิ่งอื่นใด เมื่อเป็นเจ้าของแกลเลอรีหรือพื้นที่สำหรับจัดแสดงงานศิลปะ แกลเลอรีสทำงานร่วมกับศิลปินเพื่อจำหน่ายผลงานศิลปะแก่ผู้สะสม ทำหน้าที่เสมือนผู้เชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขายเข้าด้วยกันและสามารถแปรเปลี่ยนประวัติศาสตร์ศิลปะผ่านผลงานที่พวกเขาเลือกที่จะนำเสนอ แต่การเป็นแกลเลอริสต์นั้นจะต้องทำอย่างไร? ตั้งแต่การหาที่เรียนและวิธีเสาะหาผลงานมาสเตอร์พีซไปจนถึงทิปส์ในการค้นหาพื้นที่แสดงงานศิลปะ โว้กได้รวบรวมมาไว้ที่นี่แล้ว

ศึกษาจากผู้รู้

ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าคุณควรจะเรียนในคณะหรือสาขาใดเพื่อจะเป็นแกลเลอริสต์ Larry Gagosian จบปริญญาตรีสาขาวรรณคดีอังกฤษ David Zwirner เรียนด้านดนตรีแจ๊ส ในขณะที่ Victoria Miro และ Manuela Wirth เริ่มต้นจากการเป็นคุณครู แต่หลายๆ คน อย่างเช่น Mary Boone ราชินีแห่งวงการศิลปะในนิวยอร์ก เรียนจบด้านประวัติศาสตร์ศิลปะจาก Rhode Island School of Design ทำให้เธอเข้าใจรากฐานของงานศิลปะในอดีตและสามารถพูดคุยเกี่ยวกับงานศิลปะร่วมสมัยได้อย่างไม่ขัดเขิน

 

The Courtauld Institute of Art ในกรุงลอนดอน คือหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกสำหรับการศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ คุณยังสามารถเลือกมหาวิทยาลัยตามสิ่งที่คุณสนใจ ตัวอย่างเช่น Princeton University ถือเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับศิลปะยุคกลางไว้ได้มากที่สุดในโลก ส่วนใครที่ต้องการศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ขอแนะนำ Centre for Curatorial Studies (ศูนย์ศึกษาด้านการดูแลพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ) ที่ Bard College ในนิวยอร์ก นับว่าเป็นโปรแกรมที่เจาะลึกทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะร่วมสมัยและการฝึกฝนการจัดงานนิทรรศการ นอกจากมหาวิทยาลัยชื่อดังเหล่านี้แล้ว ในหลากหลายประเทศทั่วโลกต่างรังสรรค์โปรแกรมใหม่ๆ สำหรับการศึกษาทางด้านศิลปะ เช่น Master in History of Art and Museum Studies (ปริญญาโทด้านประวัติศาสตร์ศิลปะและการศึกษาด้านพิพิธภัณฑ์) ณ Sorbonne University ที่เพิ่งเปิดใหม่ในเมืองอาบูดาบี ซึ่งสอดคล้องกับการเปิดพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ถึง 7 แห่งในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมไปถึง พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ อาบูดาบี ด้วยเช่นกัน

เสาะหาศิลปินมากความสามารถ

สำหรับการยืนหนึ่งในโลกแกลเลอรี ไม่ว่าจะศึกษามามากเท่าใดก็มิอาจสู้แพชชั่นที่มีต่องานศิลปะได้ การเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการรายล้อมตนเองไปด้วยงานศิลปะโดยการเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์และแกลเลอรีต่างๆ ยืนชมผลงาน วิเคราะห์ชิ้นงานนั้นๆ และค้นหาว่าส่วนไหนของชิ้นงานที่สื่อสารกับเรา การเป็นตัวแทนของศิลปินสักคนหนึ่ง คุณจะต้องเข้าใจจุดประสงค์ภายใต้ผลงานของพวกเขา ในการสัมภาษณ์กับ Independent เมื่อปี 1997 ช่วงที่เธอกำลังจะเปิดแกลเลอรีที่แรกของตนเอง Sadie Coles อธิบายว่าแรงจูงใจในการเป็นแกลเลอริสต์ของเธอเกิดจากผลงานของศิลปินที่มีนามว่า Sarah Lucas “ฉันพบเธอเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ในช่วงเดือนแรกๆ ที่ฉันทำงานที่ Anthony d'Offay” เธอเล่า “[ลูคัส] ยังไม่ได้โชว์ผลงานของเธอเท่าไรนักในตอนนั้น แต่เธอน่าเหลือเชื่อมากๆ ฉันไม่ทันได้คิดเลยว่าผลงานของเธอจะส่งผลถึงฉันมากมายขนาดนี้” ในขณะที่ Taka Ishii แกลเลอริสต์ในกรุงโตเกียว นิยามความเชื่อมโยงระหว่างตัวเขากับศิลปินว่า “มันคือความสัมพันธ์ระยะยาว สิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่ผลงานที่พวกเขาสร้างสรรค์ แต่ต้องคำนึงถึงนิสัยใจคอของพวกเขาด้วยเช่นกัน” การสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับศิลปินคือรากฐานของอาชีพการเป็นแกลเลอริสต์ ระบุตัวตนศิลปินที่ทำให้คุณสนใจและตื่นเต้นไปพร้อมๆ กัน และฝึกฝนการเป็นแกลเลอริสต์ด้วยการลองทำงานในแกลเลอรีที่แสดงผลงานของศิลปินที่คุณชื่นชอบ จากการเก็บเกี่ยวประสบการณ์โดยการลงสนามจริง คุณจะเริ่มเข้าใจบรรยากาศของการทำงานในฐานะผู้เชื่อมโยงศิลปินและนักสะสมเข้าด้วยกัน



WATCH




กำหนดจุดแข็งของตนเอง

ในการทำงานเป็นแกลเลอริสต์ คุณต้องมีคุณลักษณะบางอย่างที่ติดตัวมาแต่กำเนิด หนึ่งในนั้นคือการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยส่วนใหญ่แล้ว เวลาของคุณจะหมดไปกับการต่อรองระหว่างสิ่งที่เป็นความต้องการ, สิ่งที่จำเป็น, และความปรารถนาของทั้งศิลปินและนักสะสม ในบางกรณี ศิลปินบางคนอาจต้องการผู้ชี้นำในการสร้างสรรค์ผลงาน ในขณะที่ศิลปินคนอื่นๆ อาจต้องการให้แกลเลอริสต์โปรโมตผลงานให้เพียงอย่างเดียว ทั้งความเซนซิทีฟและสัญชาตญาณในตนเองผนวกรวมกันเป็นความมั่นใจในการขายชิ้นงาน ซึ่งมาจากความเชื่อมั่นในผลงานและความรู้เกี่ยวกับแวดวงศิลปะที่เพิ่มพูนจากประสบการณ์และการตามติดความเป็นไปในตลาดการซื้อ-ขายงานศิลปะ ในฐานะแกลเลอริสต์ หน้าที่ของคุณคือการยกระดับโปรไฟล์ของศิลปินด้วยการขายชิ้นงานของพวกเขา, โปรโมตผลงานผ่านสื่อ, และในระยะยาว นำผลงานของพวกเขาเข้าจับจองพื้นที่ในพิพิธภัณฑ์ แกลเลอริสต์มีหลากหลายรูปแบบ: บางคนเป็นที่รู้จักจากความสามารถในการขายแม้กระทั่งสิ่งที่ไม่น่าจะขายได้; ส่วนคนอื่นๆ เป็นที่รู้จักจากการดึงความครีเอทีฟของศิลปินออกมาเพื่อการสร้างผลงาน; บางคนเชี่ยวชาญทางด้านอสังหาริมทรัพย์ของเหล่าศิลปินผู้ล่วงลับ; ในขณะที่คนอื่นๆ มีชื่อเสียงจากการค้นพบศิลปินหน้าใหม่ๆ คุณคงจะต้องถามตนเองว่าแกลเลอริสต์แบบไหนที่คุณต้องการจะเป็น

ตามหาพื้นที่ที่ใช่

เมื่อคุณมีศิลปินในสังกัดและพร้อมที่จะจัดแสดงผลงาน คุณจะต้องหาพื้นที่ที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ ภูมิศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญ และเมืองต่างๆ ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไป เช่น ศิลปินหลายๆ คนมักจะรวมตัวกันอยู่ที่เบอร์ลิน เพราะที่ดินมักจะมีราคาที่ต่ำกว่าเมืองอื่นๆ นั่นทำให้แกลเลอรีสามารถทำหน้าที่ของตนเองได้โดยไม่เป็นปัญหา; และเนื่องจากจำนวนของนักสะสมกระจุกตัวกันอยู่ในลอนดอนและนิวยอร์กเป็นส่วนมาก การขายงานศิลปะจึงเป็นไปได้อย่างงดงามในเมืองเหล่านั้น; เบรุตได้รับการบอกกล่าวว่าเป็นศูนย์รวมงานศิลปะชิ้นใหม่ๆ ในแถบตะวันออกกลาง; และด้วยพื้นที่ที่มีอยู่เหลือเฟือในลอสแองเจลิส ทำให้แกลเลอรีใหม่ๆ ต่างผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แกลเลอรีที่มีการซื้อ-ขายอย่างต่อเนื่องมักจะมีพื้นที่ในเมืองต่างๆ ไว้ในครอบครองเพื่อเอื้อประโยชน์ในหลากหลายรูปแบบ: อย่างเช่น David Zwirner ผู้ครอบครองแกลเลอรีในนิวยอร์ก, ลอนดอน, และฮ่องกง

 

หลังจากเลือกเมืองที่ต้องการเป็นที่เรียบร้อย คุณต้องตัดสินใจว่าสถาปัตยกรรมในรูปแบบใดจะสอดคล้องกับประเภทของชิ้นงานที่จะได้รับการจัดแสดง ทั้งหมดคือเรื่องของการรังสรรค์บรรยากาศที่เหมาะสม แกลเลอรีที่จัดแสดงศิลปะร่วมสมัยโดยส่วนใหญ่มักจะทากำแพงเป็นสีขาว ใช้ไฟ LED สตริปไลท์และพื้นคอนกรีตขัดเงา แต่ใช่ว่าทุกๆ ที่จะทำเช่นนั้น Thaddaeus Ropac แกลเลอรีที่ตั้งอยู่บนโดเวอร์สตรีทในกรุงลอนดอน คือแมนชั่นในยุคศตวรรษที่ 18 ซึ่งเคยเป็นที่พักอาศัยของบิชอป Edmond Keene of Ely ในขณะที่ Hauser & Wirth Los Angeles ครอบครองพื้นที่ที่เคยเป็นโรงโม่แป้งมาก่อน แต่เรื่องงบประมาณไม่ควรเป็นสิ่งที่ขัดขวางการทำความฝันของคุณให้เป็นจริง Mary Howard เจ้าของแกลเลอรี cfcp ในวัย 25 ปี ดัดแปลงห้องนั่งเล่นและห้องนอนอีกหนึ่งห้องในย่านบรูคลินให้กลายเป็นพื้นที่จัดแสดงผลงานสำหรับศิลปินหน้าใหม่ที่อยู่ในความดูแลของเธอ

ถึงเวลาสร้างชื่อเสียงให้ก้องโลก

เมื่อคุณได้วางรากฐานไว้อย่างมั่นคง ถึงเวลาเข้าร่วมงานอาร์ตแฟร์ที่จัดขึ้นในหลากหลายพื้นที่ทั่วโลก งานที่ใหญ่ที่สุดและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางก็คือ Art Basel (จัดขึ้นที่บาเซิล, ไมอามี่ บีช, และฮ่องกง) และ Frieze ลอนดอน, นิวยอร์ก, และลอสแองเจลิส แกลเลอรีจะต้องยื่นคำขอ ซึ่งจะได้รับการตรวจสอบโดยคณะกรรมการจัดสรร โดยมีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกจากการออกแบบงานนิทรรศการ, ความรู้ความสามารถของผู้ดูแลหรือภัณฑารักษ์, และเจตจำนงของแกลเลอรี แต่อย่างที่  Touria El Glaoui ผู้ก่อตั้ง 1-54 Contemporary African Art Fair ซึ่งจัดขึ้นที่ลอนดอน, นิวยอร์ก, และมาร์ราคิช อธิบาย คุณต้องเลือกงานแฟร์ที่เหมาะสมกับผลงานที่คุณดูแล “คุณค่าและภารกิจในการสร้างพื้นที่ให้แก่งานศิลปะเชื่อมโยงกับการตัดสินใจที่จะร่วมงานกับแกลเลอรีนั้นๆ ไปในตัว เนื่องจากเราทำงานร่วมกับศิลปินจากพื้นที่ที่เคยถูกลดทอนคุณค่าในหน้าประวัติศาสตร์ เราร่วมงานกับแกลเลอรีที่เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้ ผู้ที่ทำหน้าที่ในการนำเสนอ ‘African aesthetic’ หรือวัฒนธรรมความเป็นแอฟริกัน และตอบสนองต่อความเป็นไปในยุคปัจจุบันรวมถึงการทำความเข้าใจในถิ่นที่ตั้งของงานแฟร์ที่จัดขึ้น”

 

แปล: ชนิสรา กตัญญูทวีทิพย์

ต้นฉบับ: https://www.vogue.co.uk/article/how-to-become-a-gallerist

WATCH