Vogue Thailand

FASHION

ทำความรู้จักกับ Dennis Karlsson เจ้าของแบรนด์ Maewkhoo แมวขู่ ผู้สร้างความแตกต่างให้กับงานศิลปะไทย!

ผลงานคือสิ่งที่บอกตัวตนของผู้สร้างอย่างชัดเจนที่สุด Dennis Karlsson ผู้ก่อตั้งและครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของ Maewkhoo (แมวขู่) คือหนึ่งในคนที่ยืนยันคำนี้ได้ดีที่สุด เพราะผลงานชิ้นต่างๆ ที่เขาออกแบบ สะท้อนถึงตัวตน ความคิด การเติบโต และความหลงใหลส่วนตัว จนทำให้แมวขู่เป็นหนึ่งในองค์กรที่สร้างสรรค์งานศิลป์ได้แตกต่าง

โดย Vogue Thailand
24 ตุลาคม 2568

ภาพ: สุดเขต จิ้วพานิช, Courtesy of the brand
เรื่อง: ฐาดิณี รัชชระเสวี

     สตูดิโอแมวขู่มีคาแร็กเตอร์ของศิลปินสอดแทรกไว้อยู่เต็มพื้นที่ ห้องโถงใหญ่ใจกลางสุขุมวิทถูกใช้เป็นพื้นที่ออฟฟิศของเดนนิส เฟอร์นิเจอร์ทีตกแต่งในห้องเป็นผลงานการออกแบบของเขา วางกระจายตัวอยู่สลับ กับเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์คันตาจากดีไซเนอร์คนดังของโลก ห้องนำคือไฮไลต์ที่ดีไชน์ให้เป็นแบบเปิดกว้าง กระเบืองเป็นงานเพนต์ผีมือเขา ทั้งหมด "จริงๆ ผมอยากออกแบบให้ไม่มีประตูนะ แต่ภรรยาไม่ยอม" เขาเล่าให้ฟังแบบติดตลก ห้องลองเสื้อเป็นกระจกแบบเห็นได้ทุกองศาออกมาข้างนอกจะเห็นเฟอร์นิเจอร์ชินล่าสุด ที่เขาออกแบบวางเรียงรายอยู่ แม้ทุกอย่างจะดูแตกต่างและหลากหลาย แต่ขณะเดียวกันก็มีความเป็นเอกเทศอย่างชัดเจน "คุณแม่ของผมเป็นคนไทย คุณพ่อเป็นชาวสวีเดน ผมเติบโตมาในหลายๆ ที่ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีเวียดนาม สวีเดน แล้วก็กรุงเทพฯ ทำให้ผมได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่หลากหลาย" เขาได้รับการปลูกฝังจากคุณแม่ที่เป็นคนไทยในเรื่องวิถีชีวิตแบบไทยๆ "ผ้าไหม อาหารไทย มารยาทแบบไทย คุณแม่ผมเป็นคนที่ภูมิใจในความเป็นไทยของตัวเองมาก ผมน่าจะซึมซับอะไรลายๆ อย่างมาจากตรงนั้น" แมวขู่จึงเป็นเหมือนภาพสะท้อนความเป็นตัวตนของเดนนิสได้อย่างชัดเจน "ช่วงแรกที่ทำแมวขู่ เราไม่ได้ต้องการจะให้เป็นการตลาดมากๆ ผมอยากจะสร้างอะไรที่เป็นแบบปากต่อปากมากกว่าจำได้ไหมว่าช่วงก่อนหน้านี้เวลาเราจะหาแรงบันดาลใจในเรื่องต่างๆ เราต้องเดินทางไปเมืองนอก ต้องนำเข้ามาจากเมืองนอก แม้แต่คริสปี้ครีมเราก็ต้องไปนำเข้ามา (หัวเราะ) แต่ผมคิดว่าถ้าเรามองดีๆ จะเห็นว่าสิ่งที่เรามีหลายๆ อย่างในเมืองไทยนั้นน่าสนใจไม่แพ้กัน ทั้งประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ภาษา ศิลปะ งานฝีมือ ทุกอย่าง สิ่งที่เรามีมันมหัศจรรย์มาก ซึ่งผมเห็นโอกาสตรงนั้น จึงหยิบสิ่งเหล่านี้มาเป็นองค์ประกอบในการออกแบบ"

 

 

     แพชชั่นการทำงานของเขาเริ่มจากความ ต้องการที่จะนำสิ่งดั้งเดิมมาทำให้มีความ ทันสมัย สามารถสื่อสารและเข้าถึงคนรุ่นใหม่ขณะเดียวกันก็สร้างอะไรบางอย่างที่นำเรากลับไปที่รากเหง้าของตัวเอง ขณะที่หลายๆคนอาจจะเลือกจากวัตถุดิบุหรืองานหัตถศิลป์เดนนิสเริมจากสิ่งใกล้ตัวที่เห็นมาตั้งแต่เด็ก "เสื้อเชิ้ตฮาวาย เราเห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต ส่วนผ้าไหมไทย คนอาจจะมองว่าเชยแต่สำหรับผม ผ้าไหมเป็นอะไรที่เจ๋งมากเนื้อผ้าเป็นทรง มีความเรียบลื่น มีความเป็นธรรมชาติ มีสัมผัสที่มหัศจรรย์มากใส่แล้วไม่มีกลิ่น สามารถทำให้เรารู้สึกเย็นขึ้นหรืออบอุ่นได้ และมีคนนำมาปรับใช้มากมาย" เดนนิสเล่าถึงจุดเริ่มต้นของเสื้อเชิ้ตแขนสัน อีกหนึ่งภาพจำของแบรนด์ที่เขาออกแบบขึ้น "ผมนำเสื้อที่เคยเห็นมาปรับรูปทรงใหม่โดยใช้ผ้าไหมไทย นำมาพิมพ์ลายไทยๆ และนำไปปัก" จากเสือเชิ้ตสู่คอลเล็กชั่นเสือผ้าที่ค่อยๆ เติบโตขึ้น ขณะเดียวกันงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ก็เป็นอีกหนึ่งงานที่เขาทำควบคู่กันไป

 

 

    "แก่นของแมวขู่น่าจะเป็นเรื่องของปรัชญาการออกแบบ เราไม่มีข้อจำกัดในการออกแบบ" เดนนิสบอกว่าเขาสามารถออกแบบอะไรก็ได้ภายใต้แบรนด์ "เริ่มจากผมทำมอเตอร์ไซค์ คือนำมอเตอร์ไซค์เก่ามาปรับปรุงใหม่ พอมีคนเห็นก็ขอซื้อ หลังจากนันก็ทำมาเรื่อยๆ ทำไปสัก 20 กว่าคันได้ ก็เริ่มไปสู่สิ่งอื่นๆ เช่น เสื้อฮาวายเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งภายใน ไปจนถึงการ รับออกแบบแบรนดิ้ง" จักรวาลของแมวขู่จึงเป็นเหมือนการหลอมรวมตัวตนของเดนนิสที่ต้องการนำเสนองานดีไซน์ในมมมองใหม่ๆ "ผ้าไหมไทยอาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เรานำมาตีความใหม่ หรือแม้กระทั่งเฟอร์นิเจอร์ที่ผมออกแบบ ผมอยากให้คนเห็นว่าเรานำสิ่งที่เรามีไปสร้างสรรค์ในแบบที่หลากหลาย ทำให้มันมีความแตกต่างจากคนอื่น ผมเชื่อว่าถ้าเราอยากทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ เราต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ขณะเดียวกันเราก็ต้องเดินไปข้างหน้าด้วย แม้จะยังใช้วัสดุพื้นถิ่นเช่น เราอาจจะเล่นกับรูปทรงหรือหาไอเดียใหม่ๆ สำหรับการใช้งาน ขณะเดียวกันก็นำมาแมตซ์กับความรู้หรือฝีมือการทำงานของคนในท้องถิ่น ผมเห็นว่าในช่วงหลังมานี้มีคนใช้วิธีนี้กันมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่อง ที่ดี ส่วนตัวผมเองก็อาจจะทำต่อในส่วนของงานดีไซน์ เช่น เฟอร์นิเจอร์บางชิ้นที่ผมออกแบบอาจจะไม่ได้ดูไทยมาก แต่โดยรวมในเรื่องวัสดุและงานฝีมือนั้นมีความเป็นไทยร้อยเปอร์เซ็นต์"

 

 

Article

     จากการเริ่มทำงานแบบตัวคนเดียวเดนนิสเริ่มขยายอาณาจักรแมวขู่ให้กว้างขึ้น คำแนะนำแบบปากต่อปากทำให้ธุรกิจของเขาเริ่มเติบโต มุมมองในการทำงานจึงสอดคล้องไปกับการทำธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้เดินหน้าทำการตลาดอย่างบ้าคลั่ง แต่ทำในลักษณะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป "สำหรับผม งานที่ผมสร้างขึ้นมานั้นเป็นสิ่งที่ง่ายมาก เพราะผมทำมาตลอดชีวิตและ มันเป็นธรรมชาติของผม แต่สิ่งที่ยังต้องเรียนรู้ต่อคือการขายชิ้นงานเหล่านั้น รวมถึงการทำแบรนด์ ผมค่อนข้างโชคดีที่มีทีมงานที่ดี ผมมีภรรยา (ธนวลัย วัชรพล) ที่คอยช่วยให้คำปรึกษาในส่วนของการทำธุรกิจ ดังนั้นสิ่งที่ท้าทายสำหรับผมคือการหาประสบการณ์ที่ใช่ เจอคนที่ใช่ พบกับลูกค้าที่เชื่อในงานของเราและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขา เพราะนั่นคือสิ่งที่จะทำให้แบรนด์คงอยู่ต่อไป"

     สุดท้ายสิ่งที่เดนนิสอยากจะฝากถึงคนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กับเขาและอยากสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองคือ "มันอาจจะเป็นค้าพูดเชยๆ นะ แต่ผมเชื่อว่าเราต้องทำในสิ่งที่เรารัก เราต้องเชื่อในมุมมองของตัวเอง แล้วก็มั่นใจในตัวเอง ซึ่งความมั่นใจ นั้นเราต้องค่อยๆ สะสม แต่ผมเชื่อว่ามันมาจากภายในของเรา สิ่งสำคัญคือเริ่มลงมือทำ ตอนแรกเราอาจจะไม่ได้ตอบสนองเนมุมของการขายหรือการตลาดมากนักแต่ในฐานะดีไซเนอร์หรือศิลปิน เราต้องพัฒนางานของตัวเอง ขณะเดียวกันก็เรียนรู้ที่จะทำงานกับคนอื่นๆ พบเจอคน ที่สนใจสิ่งที่เราทำอยู่ ผมมองเหมือนเป็นการเล่นเกมที่เราต้องมองภาพธุรกิจจาก มุมสูงก่อน ซึ่งอาจจะยากในช่วงแรก แต่พอเริ่มลงมือทำแล้วเห็นทิศทางก็จะเห็นว่าทุกอย่างเชื่อมโยงกันหมด เหมือนเป็นองค์ประกอบที่เคลื่อนไหวได้ ซึ่งทุกอย่างสำคัญหมด ไม่ว่าจะเป็นทีมงาน ลูกค้าและตัวเราเอง" 

 

 

(สามารถอ่านเรื่อง VOGUE LIVING | Leverone Design และ Walker Warner Architects ร่วมกันเนรมิตเรือนรับรองแขกที่ฮาวาย ได้ที่นี่)

ทำความรู้จักกับ Dennis Karlsson เจ้าของแบรนด์ Maewkhoo แมวขู่ ผู้สร้างความแตกต่างให้กับงานศิลปะไทย!