Charles Leclerc
LIFESTYLE

คำโกหกที่ผลักดันให้ Charles Leclerc กลายเป็นนักขับกระบี่มือหนึ่งแห่ง Ferrari

“พ่อไม่ต้องห่วงนะครับ ผมได้เซ็นสัญญาเป็นนักขับ F1 ให้กับทีม Ferrari แล้ว” สิ่งที่ชาร์ลสบอกกับพ่อของเขาก่อนพ่อจะจากโลกนี้ไป แน่นอนว่ามันคือการโกหก แต่เขาใช้คำโกหกนั้นเป็นแรงผลักดันให้มันกลายเป็นเรื่องจริงในวันนี้

     ถึงแม้จะเพิ่งเริ่มต้นได้เพียง 3 สนาม (ณ ตอนที่เขียนบทความนี้) แต่ดูเหมือนว่าภาพการขับเคี่ยวแย่งแชมป์รถสูตรหนึ่งหรือ Formula 1 ประจำฤดูกาล 2022 จะเริ่มชัดเจนขึ้นมาแล้ว หลังจากที่เป็นยักษ์หลับมานับทศวรรษในที่สุดทีม Ferrari ก็มีเค้าลางว่าจะกลับมาทวงบัลลังก์ความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง โดยมีคู่แข่งสำคัญอย่างทีม Red Bull ที่นำโดย Max Verstappen หนึ่งในนักขับที่ร้อนแรงที่สุดแห่งยุค ยิ่งไปกว่านั้น หากทีม Mercedes ที่ถือเป็นหนึ่งในตองอูในช่วงทศวรรษที่ผ่านมายังไม่สามารถแก้ไขข้อบกพร่องของตัวรถได้ ต่อให้ Lewis Hamilton จะท็อปฟอร์มเพียงไรก็คงยากที่จะทวงแชมป์คืนในฤดูกาล 2022 ได้สำเร็จ และคงทำได้แค่เพียงเฝ้ามองการชิงชัยระหว่าง Ferrari กับ Red Bull จากเบื้องหลัง 

Charles Leclerc

Charles Leclerc / ภาพ: Scuderia Ferrari Fans

     จริงอยู่ว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Ferrari ตื่นจากภวังค์หลับใหล และกลายเป็นทีมเต็งหนึ่งในปีนี้คือการเปลี่ยนแปลงกฎการเตรียมทีม เครื่องยนต์ และรูปโฉมรถบางประการที่อาจจะไม่ลงลึกรายละเอียดในบทความนี้ ทว่าฝีมืออันฉ​กาจของนักขับก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ขาดไม่ได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องราวของ Charles Leclerc ซึ่งในเวลานี้เขาคือหนึ่งในชายที่ได้รับการจับตามองที่สุดในวงการกีฬา ด้วยหน้าตาหล่อเหลา มาดเท่ บุคลิกสุขุมนุ่มลึก แต่เมื่ออยู่หลังพวงมาลัยกลับเร่าร้อนอย่างมีเสน่ห์ และมีโอกาสมากที่สุดที่จะคว้าแชมป์ F1 ฤดูกาล 2022

     อย่างไรก็ตามกว่าจะมาถึงจุดนี้ เส้นทางย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ โดยเฉพาะเมื่อหลายปีก่อนที่เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ขึ้นในชีวิตของชาร์ลส ซึ่งทำให้เขาจำเป็นต้องเอ่ยคำโกหกครั้งใหญ่ในชีวิต และท้ายที่สุดสิ่งนี้คือแรงผลักดันที่ทำให้เขาก้าวขึ้นเป็นนักขับระดับโลกในปัจจุบัน ภายใต้ชายคา Ferrari 

Charles Leclerc

Charles Leclerc ตัวน้อยกำลังขี่คอพ่อของเขา / ภาพ: BBC

     ย้อนกลับไปเมื่อ 24 ปีก่อน 16 ตุลาคม 1997 คือวันที่ Charles Marc Hervé Perceval Leclerc ลืมตาดูโลกในครอบครัวผู้มีอันจะกินสัญชาติโมนาโก ปู่ของเขาอย่าง Charles Manni คือผู้ก่อตั้ง Novares Group สาเหตุที่เด็กชายพูดน้อยขี้อายอย่างชาร์ลสโคจรเข้าสู่เส้นทางแห่งความเร็วและเสี่ยงอันตรายก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไรนักเนื่องจาก Hervé Leclerc พ่อของเขาเคยเป็นนักขับ Formula 3 ที่โลดแล่นอยู่ในช่วงทศวรรษ 80-90 ถึงแม้จะไม่ได้ประสบความสำเร็จหรือมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะเพาะบ่มความหลงใหลในความเร็วลงในใจเด็กชาย “งั้นก็ไปที่สนามแข่งรถกันแทน” ประโยค Hervé กล่าวกับชาร์ลสในวันหนึ่งที่เด็กชายงอแงไม่อยากไปโรงเรียน ก่อนที่จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

     นอกจากนั้นชาร์ลสยังสนิทสนมชิดเชื้อถึงขั้นเป็นลูกทูนหัวของ Jules Bianchi อดีตนักขับ F1 สังกัดทีม Marussia สิ่งนี้ยิ่งทำให้ชาร์ลสใกล้ชิดกับเส้นทางการเป็นนักขับท้าความเร็วอีกเท่าตัว และถึงแม้จะไม่มีปัจจัยเหล่านี้ เบื้องลึกจิตใจของเด็กหนุ่มก็ตกหลุมรักการอยู่หลังพวงมาลัยอย่างหัวปักหัวปำอยู่แล้ว “จงก้าวเข้าสู่ F1และเป็นแชมป์โลก” นี่คือสิ่งที่ Leclerc ผู้เป็นพ่อวาดฝันไว้ให้ลูกชาย ทันทีที่ได้เห็นพรสวรรค์​ของเด็กหนุ่ม



WATCH




Charles Leclerc

Charles Leclerc ในวัยเด็กสวมกอดกับพ่อ / ภาพ: Charles Leclerc’s Twitter

     เฉกเช่นเดียวกับนักขับ F1 คนอื่นๆ ชาร์ลสเริ่มต้นเส้นทางอาชีพของเขาจากการเป็นนักแข่งระดับ Karting ในปี 2005 หรือในขณะที่เขามีอายุเพียงแค่ 8 ขวบเท่านั้น ก่อนที่จะใช้เวลายาวนานถึง 8 ปีในการเคี่ยวกรำฝีมือการควบคุมรถในการแข่งขันระดับดังกล่าว ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็คว้าแชมป์ได้หลายครั้งเช่นกัน เมื่อบ่มเพาะจนได้ที่และเข้าสู่ช่วงวัยที่เหมาะสม ชาร์ลสก็ยกระดับเส้นทางอาชีพตัวเองโดยการก้าวสู่การแข่งขัน Formula 3 และ Formula 2 ตามลำดับ พร้อมๆ กับพรสวรรค์ที่เริ่มฉายแววชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหนึ่งในนักขับดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุด “เขาเร็วมาก แต่ยิ่งไปกว่านั้นเขาบังคับพวงมาลัยอย่างเยือกเย็นราวกับนักแข่งประสบการณ์สูง” Mattia Binotto หัวหน้าผู้ฝึกสอนของ Ferrari Academy กล่าวถึงลีลาในสนามแข่งของชาร์ลส

Charles Leclerc

Charles Leclerc กับ Jules Bianchi ผู้เป็นพ่อทูนหัว

     ทว่าในปี 2015 ชาร์ลสก็ได้ทราบข่าวร้ายว่า Jules Bianchi พ่อทูนหัวที่เขายึดถือเป็นต้นแบบก็ได้เสียชีวิตลง หลังจากอยู่ในอาการโคม่ามานานกว่า 9 เดือน จากอุบัติเหตุที่ประสบในการแข่งขัน Japanese Grand Prix ที่เมืองซุซุกะ ประเทศญี่ปุ่น และอีกหนึ่งโศกนาฏกรรมชีวิตตามมาในปี 2017 ขณะที่ชีวิตของชาร์ลสกำลังพุ่งแรงไม่ต่างจากรถที่เขาขับ แชมป์ F2 ซึ่งเปรียบเสมือนประตูบานสำคัญในการเข้าสู่โลก F1 ที่เขาฝันมาโดยตลอดอยู่ห่างออกไปเพียงแค่เอื้อม Hervé Leclerc พ่อของชาร์ลสก็ได้เสียชีวิตลงก่อนการแข่งขัน Azerbaijan Grand Prix ที่ชาร์ลสต้องลงไปช่วงชิงชัยเพียง 4 วันเท่านั้น

     “มีหลายครั้งที่ผมหวังว่าสิ่งเลวร้ายเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น”

     “การสูญเสียพ่อและฌูลเป็นสองช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างเหลือเชื่อในชีวิตของผม มันทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้นทั้งในฐานะมนุษย์และนักขับ จิตใจของผมเข้มแข็งกว่าที่เคยเป็น พวกเขาจะคงอยู่กับผมตลอดไปอย่างแน่นอน น่าเสียดายที่พ่อจากผมเร็วเกินไป มันเปลี่ยนผมไปตลอดกาล” ชาร์ลสกล่าว

Charles Leclerc

Charles Leclerc / ภาพ: Todo Formula 1

     โชคดีประการเดียวของเรื่องเศร้านี้คือการที่ Hervé Leclerc ไม่ได้ด่วนจากไปอย่างกะทันหัน แต่สุขภาพเขาค่อยๆ ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ ทีละนิด จึงทำให้ชาร์ลสมีโอกาสได้พูดคุย และกล่าวคำอำลากับชายที่เขารักที่สุด “พ่อไม่ต้องห่วงนะครับ ผมได้เซ็นสัญญาเป็นนักขับ F1 ให้กับทีม Ferrari แล้ว” สิ่งที่ชาร์ลสบอกกับพ่อ แน่นอนว่ามันคือการโกหก เพราะในขณะนั้นชาร์ลสยังเป็นเพียงนักขับ F2 ของทีม Prema Racing และยังไม่มีวี่แววว่าทีม Ferrari จะสนใจเซ็นสัญญากับเขาแม้แต่น้อย ทว่าเขาทราบดีว่าเวลาบนโลกของพ่อใกล้หมดลงเต็มทีแล้ว และสิ่งที่พ่อเขาฝันมาตลอดคือการได้เห็นเขาเป็นนักแข่ง F1 เต็มตัว ดังนั้นเพื่อแลกกับความสุขในลมหายใจสุดท้ายของคนที่เขารัก ชายหนุ่มจึงจำเป็นต้องเอ่ยคำโกหกออกไปอย่างจงใจ

     อย่างไรก็ตามชาร์ลสไม่ใช่คนที่พูดไปเรื่อย ตรงกันข้ามเขาเป็นคนที่ยึดมั่นในสัจจะอย่างมาก เมื่อพูดไปแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้สำเร็จ ดังนั้นหลังจากเสร็จสิ้นพิธีศพของพ่อ ชาร์ลสปาดน้ำตาออกจากแก้ม เปลี่ยนความเศร้ากลายเป็นความมุ่งมั่น และลุยต่อในสนามแข่งขันด้วยการขับที่ดุดันเสียยิ่งกว่าเดิม

Charles Leclerc

Charles Leclerc / ภาพ: The Economic Times

     ผลลัพธ์คือชาร์ลสโชว์ฟอร์มเก่ง ขึ้นโพเดียมเป็นว่าเล่น คว้าแชมป์ได้หลายสนามจนกลายเป็นแชมป์ Formula 2 ประจำฤดูกาล 2017 ได้สำเร็จ ด้วยคะแนนรวม 282 แต้ม ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง Artem Markelov กว่า 72 แต้ม ชาร์ลสกลายเป็นนักขับที่ดีที่สุดในรุ่น Formula 2 อย่างไร้ข้อกังขา และเป็นเป้าหมายให้ทีมในระดับ Formula 1 หลายทีมต้องการล่าลายเซ็นเขาไปร่วมทีม ทั้งๆ ที่ในตอนนั้นเขาเพิ่งผ่านพ้นการบรรลุนิติภาวะมาไม่นาน ซึ่งถือว่าอายุน้อยมากๆ สำหรับการแข่งขันในระดับที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ สุดท้ายก็เป็นทีม Alfa Romeo Sauber F1 Team คว้าตัวเขาไปร่วมทีมในฤดูกาล 2018 ก่อนที่ในฤดูกาล 2019 ชาร์ลสจะได้เซ็นสัญญากับ Scuderia Ferrari ในที่สุดคำโกหกก็ได้กลายเป็นความจริง “ท้ายที่สุดผมก็ไม่ได้โกหก เพราะผมทำมันสำเร็จแล้ว ผมได้อยู่ในทีม Ferrari มันเหลือเชื่อมาก ๆ” ชาร์ลสกล่าว

Charles Leclerc

Charles Leclerc กับชัยชนะสนามแรกที่ประเทศบาห์เรนในฤดูกาล 2022 / ภาพ: Evening Standard

     จนกระทั่งปัจจุบันในปี 2022 ชาร์ลสก็ยังคงอยู่กับทีม Scuderia Ferrari และยิ่งไปกว่านั้นโอกาสที่เขาจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์ F1 ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว ซึ่งหากพ่อของเขายังคงเฝ้ามองจากที่อันแสนไกลคงภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้จนหุบยิ้มไว้ไม่อยู่ อย่างไรก็ตามหลังจากที่ผ่านพ้นโศกนาฏกรรมชีวิตบทใหญ่มา มุมมองของชาร์ลสก็เปลี่ยนไป จริงอยู่ที่แชมป์โลก Formula 1 ยังคงเป็นความฝันของเขา เพียงแต่มันไม่ใช่ความฝันสูงสุดอีกต่อไปแล้ว “ผมได้เรียนรู้เมื่อผมสูญเสียพ่อและฌูลไป เมื่อชีวิตของคุณเป็นไปด้วยดี กีฬาแข่งรถคือทุกสิ่ง แต่หลังจากนี้ ผมเข้าใจแล้วว่าครอบครัวคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต” ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม ส่วนคำถามที่ว่า 'Charles Leclerc' จะไปถึงตำแหน่งแชมป์โลก Formula 1 ได้หรือไม่ มีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบ

ข้อมูล : The Guardian
เรียบเรียง : Ramita Naungtongnim

WATCH