Vogue Thailand

FASHION

Louis Vuitton เปิดนิทรรศการ ‘Visionary Journeys’ ณ เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น

นิทรรศการนี้จึงนำเสนอการเดินทางอันเปลี่ยนแปลงมุมมองผ่านมรดกด้านความคิดสร้างสรรค์ของหลุยส์ วิตตอง และบทสนทนาทางวัฒนธรรมที่แบรนด์มีร่วมกับญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน

โดย Ramita Naungtongnim
15 กรกฎาคม 2568

     แบรนด์สัญชาติฝรั่งเศส Louis Vuitton ประกาศเปิดนิทรรศการ ‘Visionary Journeys’ ซึ่งเป็นนิทรรศการแบบอินเมอร์ซีฟที่จะจัดขึ้น ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะนากาโนะชิมะ เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม-17 กันยายน 2025 เพื่อร่วมเฉลิมฉลองมหกรรมโลก Expo 2025 ที่โอซาก้า-คันไซ และเนื่องในโอกาสครบรอบ 170 ปีของการก่อตั้งแบรนด์ นิทรรศการนี้จึงนำเสนอการเดินทางอันเปลี่ยนแปลงมุมมองผ่านมรดกด้านความคิดสร้างสรรค์ของหลุยส์ วิตตอง และบทสนทนาทางวัฒนธรรมที่แบรนด์มีร่วมกับญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน

     พิพิธภัณฑ์ศิลปะนากาโนะชิมะเปิดให้ผู้ชมเข้าชมเมื่อปี 2022 ได้กลายเป็นหนึ่งในสถาบันวัฒนธรรมชั้นนำของญี่ปุ่นในด้านศิลปะสมัยใหม่และร่วมสมัย ด้วยรูปลักษณ์ทรงลูกบาศก์สีดำและพื้นที่ภายในที่สูงโปร่ง พิพิธภัณฑ์ให้ความรู้สึกเหมือนพาผู้ชมหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง ซึ่งนิทรรศการนี้ได้ต่อยอดบรรยากาศนั้นด้วยการออกแบบฉากแสดงอันเคลื่อนไหวโดยโชเฮ ชิเงมัตสึ ซึ่งมีวัตถุจัดแสดงมากกว่า 1,000 ชิ้น รวมถึงสิ่งของเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่นกว่า 200 รายการ นิทรรศการถ่ายทอดภาพรวมของแบรนด์ตั้งแต่กำเนิดจนถึงผลงานล่าสุด เป็นเครื่องบรรณาการแด่ความสัมพันธ์อันยืนยาวและล้ำค่ากับประเทศญี่ปุ่น

     ผู้ชมจะเข้าสู่พื้นที่นิทรรศการผ่านโถงใหญ่ ซึ่งประดับด้วยเสาเดินทางขนาดใหญ่แปดต้นที่หุ้มด้วยกระดาษวาชิลายโมโนแกรมและเรืองแสงจากภายใน เสาเหล่านี้ดูราวกับโคมไฟสูงตระหง่านตลอดความสูงห้าชั้นของอาคาร เมื่อเดินผ่านลานแสงเข้าไป ผู้ชมจะพบกับ 'Trunk Hemisphere' หรือซุ้มที่สร้างจากหีบเดินทาง 138 ใบ เป็นเหมือนประตูสู่โลกแห่งจินตนาการและการออกแบบของหลุยส์ วิตตอง โดยการติดตั้งศิลปะสองชิ้นนี้ ซึ่งเรียกว่า Trunkscapes ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำของนิทรรศการ Visionary Journeys

     การเดินทางดำเนินต่อในห้อง Asnières ซึ่งพาผู้ชมย้อนรอยต้นกำเนิดของแบรนด์และเหตุการณ์สำคัญในแต่ละยุค ทั้งในมุมของครอบครัวและช่างฝีมือจากเวิร์กช็อปที่ยังคงดำเนินงานอยู่จนถึงปัจจุบัน ภาพถ่ายเก่า คลิปวิดีโอจากคลังเอกสาร และภาพวาดจากศิลปินบันทึกเส้นทางจากปี 1854 เมื่อแบรนด์ก่อตั้งจนถึงการเติบโตเป็นไอคอนระดับโลก ผ่านมาถึงห้อง Origins เอกสารจดหมายเหตุจะพาผู้ชมย้อนกลับไปสู่ช่วงเริ่มต้นของแบรนด์ นำเสนอหีบเดินทาง 'Flat-top trunks', กระเป๋า Steamer และระบบล็อกอันล้ำสมัย ซึ่งล้วนแสดงให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นที่ผสานทั้งฟังก์ชั่นและความสง่างามจนกลายมาเป็นดีเอ็นเอของหลุยส์ วิตตอง

     ต่อจากนั้นคือห้อง Expeditions ซึ่งจัดแสดงหีบเดินทางตั้งแต่หีบโลหะสังกะสีไปจนถึง 'Secrétaire Bureau Stokowski' พร้อมเรื่องราวของนักสำรวจในอดีต โดยทั้งหมดถูกจัดแสดงภายในบอลลูนอากาศร้อนขนาดใหญ่อันได้แรงบันดาลใจจากธีมการเดินทางในแคมเปญต่างๆ ของแบรนด์ ก่อนจะตามมาด้วยห้อง Louis Vuitton and Japan เพื่อเจาะลึกบทสนทนาทางวัฒนธรรมระหว่างแบรนด์กับญี่ปุ่น ตั้งแต่แรงบันดาลใจจากกระแส Japonisme ในยุคต้น ไปจนถึงความร่วมมือยุคร่วมสมัยกับศิลปินญี่ปุ่นระดับโลก เช่น ทาคาชิ มุรากามิ, ยาโยอิ คุซามะ, เรย์ คาวาคุโบะ และ NIGO® โดยนำเสนอชิ้นงานเหล่านี้บนพื้นทาทามิที่ดูเหมือนลอยน้ำ และมีไฟตกแต่งเพดานในรูปแบบเสื่อทาทามิเช่นเดียวกัน

     มายังห้อง Materials ผู้ชมจะได้สัมผัสวัตถุดิบหลัก 4 ชนิดที่เป็นหัวใจของหีบเดินทางหลุยส์ วิตตอง ได้แก่ ไม้ โลหะ หนัง และผ้าแคนวาส ซึ่งยังคงถูกนำมาใช้จนถึงทุกวันนี้ทั้งในกระเป๋าและเครื่องประดับ เพื่อเน้นย้ำถึงความงามและความคงทนเหนือกาลเวลา ก่อนจะมาถึงนิทรรศการในพื้นที่ Monogram Canvas ถูกจัดวางเหมือนแผนที่ท้องฟ้าขนาดใหญ่ โดยนำเสนอผ้าแคนวาสโมโนแกรมซึ่งออกแบบในปี 1896 โดยฌอร์ฌ วิตตอง ต้นฉบับดั้งเดิมจากปี 1897 ซึ่งค้นพบจากคลังจดหมายเหตุ ณ กรุงปารีส ถูกนำมาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในตู้โชว์กลางห้อง รายล้อมด้วยผลงานชิ้นเด่นในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ที่ใช้ลวดลายนี้มาโดยตลอดบนแท่นจัดแสดงลอยฟ้ารูปวงแหวนหมุนได้

     ผ่านมาถึงห้องเวิร์กช็อปที่นิทรรศการยกย่องช่างฝีมือผู้สร้างสรรค์ผลงานแต่ละชิ้น โดยชิ้นงานเด่นคือหีบพิเศษที่ออกแบบเฉพาะ ได้แก่ Toolbox Trunk สำหรับโช ฮิราโนะ ศิลปินและแบรนด์แอมบาสเดอร์ และ Courrier Trunk สำหรับ Verdy นักออกแบบชาวโอซาก้า วิดีโอจากเวิร์กช็อปใน Asnières และเบื้องหลังการผลิตแสดงให้เห็นถึงความประณีตและจิตวิญญาณของงานฝีมือ ก่อนที่ในห้อง Testing ผู้ชมจะได้เห็นการทดสอบทางวิศวกรรมเพื่อพิสูจน์ความทนทาน โดยมีเครื่องมือชื่อ 'Louise' และ 'Louisette' ตั้งชื่อล้อเลียนแบรนด์อย่างน่ารัก ซึ่งใช้ทดสอบกระเป๋าและหีบในด้านความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และการสึกหรอ ทั้งยังมีการสาธิตสดจากช่างฝีมือเพื่อแสดงความประณีตของกระบวนการผลิตอย่างแท้จริง

     ต่อกับห้อง Atelier Rarex ชื่อนี้มาจากการรวมคำว่า Rare และ Exceptional โดยหมายถึงเวิร์กช็อประดับโอตกูตูร์ของแบรนด์ที่ตั้งอยู่ ณ Place Vendôme ในกรุงปารีส ซึ่งเป็นที่ผลิตชุดชั้นสูงเฉพาะบุคคลให้กับเหล่าคนดังที่เข้าร่วมงานระดับโลก เช่น Met Gala และงานประกาศรางวัลออสการ์ โดยหลังคาแมนซาร์ดของอาคาร Louis Vuitton Maison Vendôme ถูกจำลองเป็นฉากหลังของลุคคนดังเหล่านั้น และหน้าต่างชั้นบนของอาคารก็กลายเป็นตู้โชว์ที่จำลองห้องแต่งตัวของแฟล็กชิปสโตร์

     ปิดท้ายนิทรรศการด้วยห้อง Collaborations ซึ่งเป็นพื้นที่เฉลิมฉลองความร่วมมือทางศิลปะที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์แฟชั่น ตั้งแต่กราฟิตี้ของ Stephen Sprouse ไปจนถึง Supreme x Louis Vuitton และโลกอันน่าหลงใหลของ คุซามะ และ มุราคามิ การจัดแสดงแต่ละงานถูกนำเสนอภายในโดมรูปทรงกลมสี่หลังที่มีขนาดและความซับซ้อนต่างกันคล้ายปริซึมหรือกล้องคาไลโดสโคปั้ง

     ตั้งแต่ต้นจนจบทุกพื้นที่ของนิทรรศการได้พาผู้ชมเดินทางผ่านภาพจดหมายเหตุ ภาพร่างทางศิลปะ งานศิลป์ หีบเดินทาง กระเป๋า และอินสตอลเลชั่นมัลติมีเดีย เพื่อแสดงให้เห็นว่าหลุยส์ วิตตองยังคงตีความ 'ศิลปะแห่งการเดินทาง' ในรูปแบบใหม่อย่างต่อเนื่อง และขยายวิสัยทัศน์นี้ไปสู่ประสบการณ์ทางวัฒนธรรม ความงาม และนวัตกรรมอย่างไร้ขีดจำกัด

     

ภาพ : Courtesy of Louis Vuitton