FASHION

ขีดเขียนเรื่องราวฉบับใหม่บนโลกแฟชั่นไปกับ Valentino ผ่านลวดลายที่แฝงไปด้วยเสน่ห์จากโลโก้สุดไอคอนิก!

“โลโก้เป็นดั่งสัญลักษณ์ของตัวอักษร ถ้อยคำ เป็นพื้นที่ที่ถูกเว้นว่างไว้ ตลอดจนเป็นรูปทรงทางสถาปัตยกรรม ที่สร้างขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดความงดงามและวัฒนธรรมออกไปสู่ผู้คน”

     อีกหนึ่งกลวิธีที่เหล่าแบรนด์แฟชั่นเลือกใช้ในการสร้างตัวตนและเรื่องราวให้น่าจดจำ คงต้องยกให้การออกแบบ “โลโก้” สัญลักษณ์อันโดดเด่นที่มีชีวิต พาดผ่านลงบนพื้นผิวสัมผัสเเบบต่างๆ ทั้งยังเป็นตัวเเทนที่สามารถสร้างบทสนทนาโต้ตอบกับสิ่งเเวดล้อมที่รายล้อมได้อย่างสร้างสรรค์ นอกจากนี้โลโก้ยังเป็นสัญลักษณ์ที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ พร้อมถ่ายทอดเส้นทางการเติบโตของเเบรนด์ให้กับสาวกอยู่เสมอ จนเมื่อโลกได้หมุนไปตามกาลเวลาความรักเเละความปรารถนาที่จะครอบครองไอเท็มชิ้นงามต่างก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดโลโก้ก็กลายมาเป็นอีกหนึ่งเครื่องประดับที่ฝังดีเอ็นเอของแบรนด์ลงบนไอเท็มแต่ละชิ้นได้อย่างเด่นชัด

โลโก้ของ Velentino ในปี 1960 (ซ้าย) เเละ โลโก้ของ Valentino ในปี 2022 (ขวา)

     เช่นเดียวกับ “Valentino” แบรนด์แฟชั่นที่ได้ออกแบบโลโก้เพื่อเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่ทำเราได้รู้จักกับตัวตนและแรงบันดาลใจของแบรนด์มากยิ่งขึ้น ซึ่งสัญลักษณ์นี้ถูกเรียกว่า “V Logo” เป็นสัญลักษณ์ที่เปี่ยมล้นไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง ทั้งยังเป็นโลโก้ที่ถูกพัฒนาในด้านการดีไซน์มาอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดนิ่ง โดยสัญลักษณ์อันเป็นภาพจำของแบรนด์วาเลนติโน่ ปรากฏขึ้นมาครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1959 ครั้งเมื่อผู้ก่อตั้งอย่าง “Valentino Garavani” ได้เดินทางกลับมาเปิดห้องเสื้อกูตูร์ที่บ้านเกิด ณ ประเทศอิตาลี โดยสัญลักษณ์ V ของวาเลนติโน่นั้น เดิมทีถูกจัดวางไว้อย่างเรียบง่ายบริเวณจุดกึ่งกลางของวงรีรูปไข่พร้อมห้อยชื่อเจ้าของแบรนด์ไว้ด้านล่าง จนต่อมาได้รับการพัฒนาและปรับแต่งรูปทรงของโลโก้ให้มีความสมดุลและโมเดิร์นมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ตอบรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปจนกลายมาเป็นสัญลักษณ์ที่เราได้เห็นกันในปัจจุบันนี้



WATCH




     ทว่าเรื่องราวของโลโก้ประจำของเเบรนด์ไม่เพียงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้ผู้คนสมัยนั้นรู้จักเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อปี ค.ศ. 1968 ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของแบรนด์อย่างมงซิเออร์วาเลนติโน่ ก็ได้หยิบยกเอา V Logo นี้มาทำเป็นลายพิมพ์ลงบนผืนผ้าจนกลายมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างสรรค์คอลเล็กชั่นที่ตะโกนคำว่า “Valentino” ออกมาได้อย่างชัดเจนกับคอลเล็กชั่น Pret-à-Porter Collection ถึงแม้ว่าการหยิบจับเอาโลโก้ของแบรนด์มาเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบผลงานจะดูไปได้ดี ในขณะเดียวกันลวดลายเหล่านั้นกลับไม่ได้สร้างตัวตนของวาเลนติโน่ได้มากเท่าที่ควร แต่กลับสะท้อนเรื่องราวของความคิดสร้างสรรค์เสียมากกว่า จนช่วงเวลาต่อมาในปี 1979 แบรนด์วาเลนติโน่ การาวานีก็ต้องสะดุดอีกครั้งเมื่อเกิดข้อพิพาททางด้านเครื่องหมายการค้ากับแบรนด์แฟชั่นที่ใช้ชื่อและโลโก้ประจำแบรนด์ใกล้เคียงกันอย่าง “Mario Valentino” ทำให้วาเลนติโน่ไม่สามารถที่จะนำเอา V Logo มาเป็นส่วนหนึ่งบนผลงานการออกแบบของรองเท้า กระเป๋า และเครื่องหนัง ได้ชั่วคราว

    จนเมื่อข้อพิพาทได้สิ้นสุดลงและแบรนด์วาเลนติโน่ถูกส่งไม้ต่อให้ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์คนปัจจุบันของแบรนด์อย่าง “Pierpaolo Piccioli” เขาได้ตัดสินใจที่จะหยิบเอา สีแดงและ V Logo อันเป็นมนต์เสน่ห์และภาพจำของแบรนด์มาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์แฟชั่นขึ้นมาใหม่ ซึ่งเดิมทีปิแอร์เปาโลได้มองหาสัญลักษณ์ที่จะสามารถสร้างให้เป็นเครื่องหมายสากลแก่วาเลนติโน่และในภายหลังเขาตระหนักได้ว่า V Logo นี้เองที่จะกลายมาเป็นกุญแจนำทางดอกใหม่เพื่อเปิดประตูสู่ความสร้างสรรค์ให้กับแบรนด์อีกครั้ง

    ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของปิแอร์เปาโลผสานเข้ากับความเชื่อที่ว่า “โลโก้เป็นดั่งสัญลักษณ์ของตัวอักษร ถ้อยคำ เป็นพื้นที่ที่ถูกเว้นว่างไว้ ตลอดจนเป็นรูปทรงทางสถาปัตยกรรม เพื่อถ่ายทอดความงดงามและวัฒนธรรมออกไป” ทำให้เราได้เห็นคอลเล็กชั่นที่ตะโกนชื่อแบรนด์ออกมาได้อย่างประจักษ์แจ้งอีกครั้งผ่านคอลเล็กชั่น “Valentino Toile Iconographe” ประจำฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน ปี 2023 ผลงานการออกเเบบที่เต็มไปด้วยตัวตน อิสระ และความสง่างามอันไม่รู้จบ โดยครั้งนี้ปิแอร์เปาโลได้หยิบยกเอา V Logo มารังสรรค์เป็นลวดลายโมโนแกรมซึ่งมีแพตเทิร์นที่เรียงต่อกันไปเรื่อยๆ พร้อมพิมพ์ลงบนผืนผ้าใบที่นับได้ว่าเป็นวัสดุหลักในการถ่ายทอดเรื่องราวบทใหม่ของวาเลนติโน่

     คอลเล็กชั่น “Valentino Toile Iconographe” นี้ได้จัดแสดงแฟชั่นโชว์ไปเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา ภายใต้คอนเซปต์ #UnboxingValentino ประกอบไปด้วยลุคต่างๆ ประจำคอลเล็กชั่นมากถึง 91 ลุค โดยความน่าสนใจของโชว์นี้ที่ต้องพูดถึงคือลวดลายโมโนแกรมที่ปรากฏให้เราได้เห็นบนเครื่องแต่งกายและแอ็กเซสเซอรี่ชิ้นต่างๆ เช่น หมวก ถุงน่อง กระเป๋าและรองเท้า ทั้งยังสร้างความแปลกใจกับการเพนต์ใบหน้าของนางแบบให้เต็มไปด้วย V Logo จนสร้างเสียงฮือฮาให้กับเหล่าแขกฟรอนต์โรว์อยู่ไม่น้อย

    ไม่เพียงการเปิดตัวลวดลายโมโนแกรมนี้บนรันเวย์แฟชั่นโชว์เท่านั้น ทว่าปิแอร์เปาโลยังได้หยิบยกเอาลุคไฮไลต์ประจำโชว์มาสร้างสรรค์แคมเปญใหม่โดยได้รับเกียรติจากช่างภาพระดับไอคอนิกอย่าง “Steven Meisel” เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวฉบับใหม่ของคอลเล็กชั่นนี้ ซึ่งสตีเฟ่นได้นำเอาเครื่องแต่งกายต่างๆ มาวางตัดกับพื้นหลังสีขาวที่เเลดูเหมือนผ้าใบ เกิดเป็นภาพถ่ายที่ทรงพลังและไร้กาลเวลา สะท้อนรูปแบบความงดงามในการเชื่อมโยงตัวตนของวาเลนติโน่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

     ในการจัดทำแคมเปญครั้งนี้ยังได้นางแบบมากความสามารถอย่าง “Kristen McMenamy” ที่เผยความงดงามของลายโมโนแกรมผ่านการแต่งหน้าด้วยลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ประจำคอลเล็กชั่นนี้ ทั้งยังสะท้อนความบางเบาของฤดูใบไม้ผลิผ่านกระเป๋าที่นำมาทำเป็นเครื่องประดับบนหัวของนายแบบ พร้อมสะท้อนความคลาสสิกและสง่างามของหญิงสาวผ่านถุงน่องลายโมโนแกรม ทำให้ภาพดูเสมือนมีมนต์สะกดมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นแคมเปญนี้ยังได้ “Sora Choi” นางแบบชาวเกาหลีใต้ ผู้ครองผลงานการถ่ายแบบนิตยสารมานักต่อนักเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดความสง่างามนี้ โดยโซรามาในโททัลลุคที่ถูกปกคลุมด้วยผ้าพันคอและหมวกสีแดง สะท้อนให้เห็นถึงความสมดุลระหว่างความน่าหลงใหลและความแข็งแกร่งได้อย่างลงตัว

     "Valentino Toile Iconographe" ยังคงขีดเขียนเรื่องราวบทใหม่บนโลกแฟชั่นอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสร้างสรรค์ตัวตนแบบใหม่และสะท้อนกลิ่นอายของอิสรภาพ ความงดงามให้เราได้เห็นอยู่เสมอ ทั้งยังถือเป็นการสร้างบทสนทนาที่ไร้พรมแดนและไร้เพศสภาพให้กับสาวกของแบรนด์ได้อย่างแท้จริง สามารถติดตามเรื่องราวของคอลเล็กชั่นนี้เพิ่มเติมได้ที่ https://www.valentino.com/experience/toile-iconographe

WATCH