Vogue Thailand

FASHION

เจาะลึกการเดบิวต์ของ Simone Bellotti ณ Jil Sander กับแนวทางสไตล์มินิมัลฉบับคลาสสิกขนานแท้

Jil Sander ภายใต้การกุมบังเหียนของ Simone Bellotti กำลังพาสาวกแฟชั่นย้อนกลับสู่รากฐานความดั้งเดิมของดีไซเนอร์ผู้ก่อตั้ง พร้อมพัฒนาอย่างร่วมสมัยเพื่อตอบโจทย์โลกแฟชั่นปี 2025

โดย Nattanam Waiyahong
24 กันยายน 2568

     มหากาพย์แห่งการเปลี่ยนแปลงดีไซเนอร์คือวงล้อแห่งการขับเคลื่อนแฟชั่นอย่างแท้จริงในปี 2025 การเดินหน้าสรรสร้างผลงานเพื่อเดบิวต์อย่างเป็นทางการในช่วงแฟชั่นวีก ประจำฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2026 คือโจทย์อันท้าทายสำหรับดีไซเนอร์ที่เข้ามารับตำแหน่ง ณ เมซงระดับแถวหน้าของวงการ แม้สาวกแฟชั่นหลายคนจะจับจ้องกับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ แต่อีกหนึ่งแบรนด์ที่มีการเปลี่ยนแปลงและพร้อมลงสนามเพื่อเสิร์ฟแฟชั่นในมิติที่สดใหม่คือ Jil Sander กับการเข้ามาของ Simone Bellotti ดีไซเนอร์ชาวอิตาเลียนที่เข้ามากุมบังเหียนในฐานะผู้อำนวยการสร้างสรรค์แทนที่ Luke และ Lucie Meier คู่สามีภรรยาที่ดำรงตำแหน่งยาวนานถึง 7 ปี

     จุดเริ่มต้นของซิโมเน่อาจไม่ได้รับการจับจ้องเท่ากับดีไซเนอร์บิ๊กเนมคนอื่นๆ และแบรนด์เองก็ไม่ได้เปิดตัวหวือหวาด้วยแคมเปญหรือการโปรโมตที่ระเบิดพลังคดึงดูดความสนใจ แต่เลือกจะเล่าเรื่องราวการย้อนกลับสู่รากฐานอันแข็งแกร่งของจิล แซนเดอร์ที่ถือกำเนิดขึ้น ณ เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนีเมื่อปี 1968 โดยซิโมเน่นำเสนอแคมเปญภาพยนตร์สั้นกี่งสารคดีที่เปี่ยมด้วยศิลปะภายใต้ชื่อ ‘Wanderlust’ กับการบอกเล่าวิถีความเป็นไปของเมืองฮัมบูร์กในหลากแง่มุม ตั้งแต่ศิลปะ บรรยากาศโดยทั่วไป ไปจนถึงผู้คน และความแตกต่างของการใช้ชีวิต หลายคนอาจหลงลืมไปแล้วว่าเมืองที่มีทั้งศิลปะและอุตสาหกรรมคือรากเหง้าของจิล แซนเดอร์ที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นมานานเกือบ 6 ทศวรรษ และแคมเปญนี้ยังหมายถึงวิธีการประกาศบอกเป็นนัยว่าซิโมเน่อาจนำแฟชั่นโดยจิล แซนเดอร์ฉบับออริจินัลกลับมาให้แฟนๆ เชยชมอีกครั้ง

     เริ่มตั้งแต่สถานที่จัดโชว์กับ Piazza Castello สำนักงานใหญ่ของแบรนด์ ณ เมืองมิลาน เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่ดีไซเนอร์มากประสบการณ์(เบื้องหลัง) พาทุกคนสัมผัสกับรากเหง้าที่ถูกตีความใหม่โดยแท้จริง เพราะแม้แต่ซิโมเน่ยังกล่าวในบทสัมภาษณ์กับโว้กอเมมริกาว่าเมื่อเข้ามาถึงสถานที่ขาวสะอาดในโชว์รูม เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานและอัตลักษณ์ของแบรนด์ คำว่า ‘light’ และ ‘modern’ จึงปรากฏเด่นชัดทั้งในชุดความคิดของเขาและในเป้าหมายแนวทางการทำงานด้านแฟชั่นภายใต้ชื่อจิล แซนเดอร์ที่เกิดขึ้น แน่นอนว่านำมาสู่การริเริ่มทำการบ้านและเตรียมสิ่งที่ใช่ที่สุดสำหรับโชว์ ณ พื้นที่ขาวสะอาดแห่งนี้

     มิติความมินิมัลอันเป็นรากฐานสำคัญของจิล แซนเดอร์ปรากฎขึ้นทันทีหลังจากเริ่มต้นโชว์ได้ไม่นาน ฉากหลังสีขาวโพลนเปี่ยมด้วยความินิมัลและบริสุทธิ์ ทำหน้าที่เหมือนผืนผ้าใบให้ซิโมเน่นำเสนอผลงานออกมาอย่างโดดเด่นและปราศจากการดึงดูดสายตาผู้ชมให้ออกนอกลู่นอกทาง จิตวิญญาณของจิล แซนเดอร์ฉบับออริจินัลถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งอย่างโดดเด่น รูปแบบของเสื้อผ้าทุกเซ็ตคือวิถีการ ‘Modernize’ ความคลาสสิก หรือที่ผู้เขียนนิยามให้กับโชว์นี้ว่า ‘Modernizing the Classic Root’ เพราะซิโมเน่เข้าถึงแก่นแท้ในแบบฉบัของดีไซเนอร์ผู้ก่อตั้ง แต่ก็ไม่ลืมสอดแทรกแนวทางแฟชั่นของตัวเองลงไปจนกลายเป็นส่วนผสมที่กลมกล่อม แม้จะต้องยอมรับว่ามันไม่ได้หวือหวาหรือพาสะกดสายตาชนิด ‘Statement Piece’

     คำถามคืออะไรที่ขาดหายไปจากยุคสมัย 7 ปีที่ผ่านมา ลวดลายกราฟิกและความจัดจ้านในการใช้สีสันแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ไอเท็มทั้งหมดในคอลเล็กชั่นนี้ปรากฏออกมาในรูปแบบของโทนสีเรียบ ไล่ตั้งแต่โทนสีเบสิกอย่างสีดำ สีขาว สีเทา และสีน้ำเงิน ไปจนถึงสีฉูดฉาด ล้วนแต่เป็นโมโนโครม แทบจะไม่มีการไล่ระดับสีหรือสอดแทรกลวดลายใดๆ ชี้ให้เห็นเป้าหมายการสร้างโลกแห่งความมินิมัลในแบบฉบับของจิล แซนเดอร์ขนานแท้ สิ่งนี้ผนวกควบรวมกับวิธีการเล่าเรื่องผ่านเสื้อผ้าที่ดูธรรมดาทั่วไป แต่เฉียบคมด้วยซิลูเอตและการใช้สัดส่วนที่มีความเฉพาะตัวหรือการปรับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ถ้าไม่ใช่คอแฟชั่นนักสังเกตอาจมองผ่านไปโดยที่คาข้อสงสัยว่าทำไมสูท เสื้อครอป เสื้อโค้ต หรือแม้กระทั่งชุดเดรสถึงไม่เหมือนทั่วไป แต่อาจยังหาคำตอบไม่ได้โดยทันที (อาจจะต้องใช้เวลาพินิจพิเคราะห์กับภาพรันเวย์หรือลุคบุ๊กย้อนหลัง)
 

     คำถามต่อมาคือถ้ากล่าวถึงการย้อนรำลึกถึงรากฐานของจิล แซนเดอร์ ซิโมเน่กำลังใช้หลักการหรือรายละเอียดตรงไหนมาเป็นตัวชูโรง ย้อนกลับไปในช่วงต้นของแบรนด์ มีเสื้อผ้าที่เรียบง่ายแต่น่าสนใจด้วยการคัตเอาต์ และชุดเดรสผ้าบางที่อาจทะลุไปถึงขั้นซีทรู คือไอเท็มชูโรงที่ทำให้จิล แซนเดอร์โด่งดังอย่างมากในช่วง 1970s ถึง 1980s ดังนั้นถ้าใครมีโอกาสย้อนกลับไปชมโชว์หรือชมแคตตาล็อกเมื่อกว่า 4 ทศวกรรษก่อน จะพบว่ารายละเอียดเหล่านี้คือพื้นฐานที่ซิโมเน่หยิบยกมาใช้ใหม่อีกครั้ง พร้อมผสมผสานความโมเดิร์นเข้าไปให้เหมาะกับความมินิมัลเปี่ยมสไตล์ในปี 2025
 

     รายละเอียดการจับระบายช่วงเอว งานเทเลอริ่ง นิตแวร์ หรือแม้แต่เสื้อเชิ้ตเรียบง่ายก็เป็นสัญลักษณ์ของวิถีมินิมัลขั้นสุด ดีเอ็นเอของแบรนด์ถูกถ่ายทอดมาพร้อมกับความถนัดมือของซิโมเน่อย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้เขายังสอดแทรกกับโทนสีถนัดอย่างสีน้ำเงินค่อนไปทางโทนม่วงและสีส้มที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่งเขาเคยใช้และถือเป็นคอมโบที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของ Bally และสามารถสร้างภาพแฟชั่นอันน่าจดจำได้อย่างมีนัยสำคัญ แน่นอนว่าโชว์นี้อาจจะดูเรียบเฉยไปสักหน่อย ทว่าหากมองว่าเป็นการรีเซ็ตจิล แซนเดอร์ให้กลับสู่จุดเริ่มอย่างที่เคยเป็น และบอกใบ้กับภาษาที่ซิโมเน่ใช้ในการสร้างความทันสมัยจากแฟชั่นดั้งเดิม โชว์นี้อาจมีความสำคัญต่อการก้าวไปข้างหน้าพร้อมยึดแนวทางมินิมัลในแบบที่จิล แซนเดอร์เคยสรรสร้างไว้แบบแทบไม่มีผิดเพี้ยน