FASHION

‘เก้าอี้ดนตรีแห่งปี 2024’ ปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงดีไซเนอร์ที่ทำให้โลกแฟชั่นสั่นสะเทือน

ปิดฉากปีด้วยบทสรุปการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้โลกแฟชั่นขยับเขยื้อนอย่างรวดเร็ว เพราะดีไซเนอร์ระดับแถวหน้าต่างโยกย้ายสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันเป็นว่าเล่น

มหากาพย์แห่งการเปลี่ยนแปลงคือปรากฏการณ์สำคัญในปี 2024 ที่จะกำหนดทิศทางโลกแฟชั่นต่อไปในอนาคต เก้าอี้ดนตรีแห่งจักรวาลดีไซเนอร์เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี (แท้จริงแล้วต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2023) ข่าวคราวการสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของแบรนด์น้อยใหญ่ได้รับความสนใจอยู่ตลอดทั้งปี และยิ่งทวีความเข้มข้นกับบทสรุปปิดท้ายปีที่หลายคนจับตารอดูว่าแบรนด์มหาอำนาจในโลกแฟชั่นที่ยังเว้นตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างสรรค์ให้ว่างอยู่นั้นจะสรรหาใครเข้ามารับหน้าที่สำคัญเช่นนี้ มากไปกว่านั้นความน่าติดตามยังอยู่ที่การโยกย้ายพร้อมกับปรับทิศทางแฟชั่นในสไตล์ที่เด่นชัด ตลอดรอบปีที่ผ่านมาเชื่อว่าสาวกแฟชั่นพันธุ์แท้ได้เห็นผลงานชิ้นใหม่ที่อาจเปลี่ยนแปลงภาพจำของบางแบรนด์ หรือบางทีก็กำลังรอคอยการเขย่าศิลปะในอีกรูปแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน วันนี้โว้กจะพาไปสรุปรวบยอดว่าปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงผู้กุมบังเหียนประจำปี 2024 เกิดขึ้นอย่างไร

ภาพ: Courtesy of Valentino

  • VALENTINO
    OUT: Pierpaolo Piccioli
    IN: Alessandro Michele

สำหรับแบรนด์ยักษ์ใหญ่จากอิตาลีที่ประทับรากฐาน ณ กรุงปารีสมาเป็นเวลานาน ดูเหมือนว่าผลงานของ Pierpaolo Piccioli จะสร้างภาพจำอันตราตรึงให้กับสาวกแฟชั่นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานฝีมือเรื่อยไปจนถึงมนต์เสน่ห์ความเรียบหรูที่สอดแทรกรายละเอียดเนี้ยบประณีต มากไปกว่านั้นยังนำเสนอแฟชั่นที่ใช้สีเป็นเอกลักษณ์แบบเด่นชัด จนหลายคนมองว่าวาเลนติโน่สร้างอัตลักษณ์ที่ชัดเจนผ่านเลนส์ของดีไซเนอร์อิตาเลียนผู้นี้ไปเรียบร้อย ถึงกระนั้นเขาก็ประกาศโบกมือลาเมซงวาเลนติโน่ที่เขารับไม้ต่อจาก Valentino Garavani ไปแบบช็อกโลก ส่วนคนที่เข้ามารับไม้ต่อคือ Alessandro Michele ซึ่งโบกมือลา Gucci มาอย่างเซอร์ไพรส์เช่นเดียวกัน โดยดีไซเนอร์อิตาเลียนคนหลังหยิบยกแรงบันดาลใจจากคลังเก่าของแบรนด์มานำเสนอในรูปแบบของตัวเอง วิธีการย้อนความสวยงามจากผลงานดั้งเดิมเหมือนเป็นหลักคิดที่ใช้ผูกโยงกับแนวทางที่เขาช่ำชองเสียมากกว่า คำวิจารณ์ถาโถมเข้ามาตั้งแต่เผยคอลเล็กชั่น Avant Les Débuts จำนวนเกินหลัก 100 ลุคที่สาวกแฟชั่นมองว่าอาจไม่ได้สัมผัสเสน่ห์ของวาเลนติโน่เท่าไหร่นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝีมือปิแอร์เปาโล ทว่าในอีกมุมหนึ่งเขาก็มองว่านี่คือรากฐานดั้งเดิมของเมซง และพร้อมพัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงโชว์แรก ณ ปารีสแฟชั่นวีกกับ Pavillon des Folies ที่ยังคงรักษาแนวทางแบบฉบับของอเลสซานโดร สอดผสานไปกับรูปแบบแฟชั่นในสไตล์ย้อนยุคจากคลังเก่า มากไปกว่านั้นเรายังเห็นแขกคนสำคัญที่ร่วมงานกับอเลสซานโดรย้ายถิ่นฐานตามกันมาเป็นโขยง นับว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนวงการแฟชั่นอยู่มากทีเดียว

ภาพ: Courtesy of Chanel (by Karl Lagerfeld) / Courtesy of Chanel (by Dana Lixenberg)

  • CHANEL
    OUT: Virginie Viard
    IN: Matthieu Blazy

ข่าวใหญ่ส่งท้ายปี 2024 ที่เชื่อว่าสาวกแฟชั่นทุกคนติดตามอย่างใกล้ชิดมาพักใหญ่คือการเฟ้นหาหัวเรือคนใหม่ของแบรนด์ Chanel เพราะหลังจากนำเสนอคอลเล็กชั่นครูส ณ เมืองมาร์กเซย Virginie Viard ก็ได้รับคำวิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะเรื่องผลงานการนำเสนอที่ไม่สามารถตอบโจทย์แฟนชาเนลพันธุ์แท้ รวมถึงสาวกแฟชั่นที่ติดตามความเคลื่อนไหวของชาเนลอยู่เสมอ ผลงานก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้สร้างความประทับใจมากนัก ซึ่งนำมาสู่การโบกมือลาตำแหน่งไปค่อนข้างกะทันหัน ทำให้ทีมสตูดิโอต้องรับไม้ต่อในการสร้างสรรค์คอลเล็กชั่นโอตกูตูร์ช่วงกลางปี รวมถึงคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2025 ที่เฉลิมฉลองการกลับมาจัดโชว์ที่ Grand Palais อีกครั้งในรอบ 2 ปี เหตุการณ์สำคัญยิ่งใหญ่ขนาดนี้ชาเนลกลับขาดหัวเรือใหญ่ไปอย่างน่าประหลาดใจ หลังจากโชว์นั้นไม่นานก็มีกระแสว่าชาเนลเริ่มเฟ้นหาดีไซเนอร์มือฉมังก์เพื่อมารับไม้ต่อจากดีไซเนอร์ของแบรนด์คนแรกที่อำลาตำแหน่งโดยสาเหตุไม่ได้มาจากการเสียชีวิต (ก่อนหน้านี้ Gabrielle Chanel และ Karl Lagerfeld เสียชีวิตขณะดำรงตำแหน่ง) จนสุดท้ายเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2024 ข่าวใหญ่แห่งโลกแฟชั่นก็เกิดขึ้นเมื่อแบรนด์ประกาศแต่งตั้ง Matthieu Blazy เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างสรรค์คนใหม่ หลังจากมีข่าวว่าเขาอำลาแบรนด์เก่าเพียงชั่วครู่เท่านั้น และมีกำหนดว่าคอลเล็กชั่นแรกของดีไซเนอร์ฝรั่งเศสผู้นี้จะเริ่มต้นช่วงเดือนตุลาคมปี 2025 นั่นหมายความว่าเขาจะมีเวลารังสรรค์ชิ้นงานเปิดตัวเป็นเวลาเกือบปี และจะเป็นคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2026 ที่ทุกคนรอคอยอย่างแน่นอน



WATCH




ภาพ: Gorunway.com / Courtesy of Bottega Veneta

  • BOTTEGA VENETA
    OUT: Matthieu Blazy
    IN: Louise Trotter

สำหรับข่าวในช่วงเวลาเดียวกับแบรนด์เพชรยอดมงกุฎจากฝรั่งเศส ก็มีข่าวคราวการสลับเปลี่ยนตำแหน่งสำคัญของเมซงจากอิตาลีเช่นเดียวกัน และก็มีความเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน เพราะ Bottega Veneta แยกทางกับ Matthieu Blazy อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการอำลาที่ทำให้หลายคนช็อกเพราะเขาสามารถชุบชีวิตแบรนด์ให้กลับมามีชีวิตชีวาบนโลกแฟชั่น และกลายเป็นแบรนด์ระดับแนวหน้าของวงการที่เร่งเร้าความต้องการเชิงการตลาดได้อย่างยอดเยี่ยม ผลผลิตด้านงานฝีมือผสมผสานกับการนำศิลปะหลากหลายแขนงมาผสมผสานคือกุญแจสำคัญที่ทำให้โบเตก้า เวเนต้าโดดเด่นขึ้นมาในช่วงหลายปีหลัง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือการเสียเพชรเม็ดงามไปอย่างน่าเสียดาย แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องหาคนทดแทนที่เปี่ยมคุณภาพด้วยเช่นกัน เพียงระยะเวลาไม่กี่นาทีหลังการประกาศแยกทาง โบเตก้า เวเนต้าก็ไม่รอช้าประกาศให้ Louise Trotter ขึ้นมารับตำแหน่งสำคัญนี้แทนทันที ซึ่งความน่าสนใจคือเธอเป็นดีไซเนอร์หญิงคนล่าสุดที่จะเข้ามากุมบังเหียนแบรนด์ใหญ่ระดับแถวหน้าของวงการ ความคาดหวังจึงค่อนข้างสูง แต่จากประสบการณ์การเป็นหัวเรือใหญ่แบรนด์ Carven ที่สร้างสรรค์ชิ้นงานคุณภาพเสิร์ฟโลกแฟชั่น และเคยทำงานกับ Lacoste จนสร้างแนวทางแฟชั่นที่น่าตื่นเต้นให้กับแบรนด์สายสปอร์ตมาแล้ว ก็ถือเป็นเรื่องน่าติดตามว่าเธอจะนำพาโบเตก้า เวเนต้าไปได้ไกลต่อยอดจากดีไซเนอร์คนเก่าได้มากเพียงใด

ภาพ: Courtesy of Hedi Slimane / Courtesy of Celine

  • CELINE
    OUT: Hedi Slimane
    IN: Michael Rider

หากจะพูดถึงข่าวนี้ผู้เขียนจะนิยามว่าเป็น “ระเบิดลูกใหญ่แห่งวงการแฟชั่น” เพราะการก้าวลงจากตำแหน่งของ Hedi Slimane ณ Celine ทำให้เกิดการคาดการณ์ไปต่างๆ นานากับตำแหน่งที่ว่างอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Chanel ซึ่งตลอดเวลาประมาณ 2 เดือนมีกระแสมากมายว่าดีไซเนอร์ระดับไอคอนชาวฝรั่งเศสอาจโยกย้ายไปอยู่เมซงที่กำลังควานหาตัวแทนของดีไซเนอร์คนเก่าที่อาจจากกันไม่สวยหรูนัก เมื่อข่าวออกก่อนคนก็คาดเดาก่อน เอดี้กลายเป็นตัวเต็งที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของเมซงชาเนลคนต่อไป ทว่าอย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าข่าวคราวก็เริ่มเงียบหายไป จนกระทั่งแบรนด์ก็แต่งตั้งดีไซเนอร์อีกคนไปเรียบร้อย คราวนี้ก็ถึงคราวชวนฉงนสงสัยว่าเอดี้จะไปรั้งตำแหน่ง ณ แบรนด์ใด และเขาจะสร้างโลกแฟชั่นของตัวเองในแบบที่เขาเคยทำมาหรือไม่ เรื่องนี้คงต้องรอกันต่อไป ทว่าเซลีนก็ไม่รอช้าหลังประกาศข่าวการอำลาตำแหน่งไม่นานก็ประกาศทันทีว่า Michael Rider จะมารับตำแหน่งผู้คุมหางเสือของแบรนด์ โดยไมเคิลมีประสบการณ์การทำงานในแวดวงแฟชั่นอย่างหลากหลาย และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จแบรนด์ Polo Ralph Lauren ในช่วงยุคหลัง ทั้งยังเคยเป็นคนเก่าคนเดิมของเซลีนมาแล้วสมัย Phoebe Philo ซึ่งทำให้สาวกเซลีนดั้งเดิมเฝ้ารอว่าเขาอาจทำให้วิถีแฟชั่นสมัยฟีบี้กลับมาสู่เมซงแห่งนี้อีกครั้ง

ภาพ: Courtesy of Givenchy (by Paolo Roversi) / Courtesy of Givenchy

  • GIVENCHY
    OUT: Matthew Williams
    IN: Sarah Burton

สำหรับข่าวคราวการแยกทางของ Matthew Williams และ Givenchy ถูกลือขึ้นอย่างหนาหูมาตั้งแต่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 ก่อนจะถูกประกาศในช่วงปลายปีและมีผลอย่างเป็นทางการในวันขึ้นปีใหม่ของปี 2024 พอดิบพอดี อาจกล่าวได้ว่าแมทธิวคือดีไซเนอร์คนแรกที่ก้าวลงจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการในปี 2024 ก็ว่าได้ การเข้ามาแทนที่ Clare Waight Keller เต็มไปด้วยความคาดหวัง ไม่ว่าจะเป็นทั้งเชิงแฟชั่นความสวยงาม เรื่อยไปจนถึงด้านธุรกิจ ความร้อนแรงของแบรนด์ Alyx ณ ตอนนั้นทำให้ชื่อเสียงของแมทธิวเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งยังมีเพื่อนสนิทเป็น Kim Jones ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากกับ Dior การเปิดตัวครั้งแรกเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่กราฟความน่าสนใจก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง จีวองชี่หวือหวาอยู่ได้ไม่นานก็ถูกเงามืดมาเทียบข้างอีกครั้ง แม้เขาจะสร้างสรรค์ไอเท็มจำพวกกระเป๋าและรองเท้าที่สะกดตาคนแฟชั่นอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่เพียงพอต่อความความคาดหวังในหลายมิติ ทำให้เขาต้องโบกมือลาจากเมซงไปอย่างไม่น่าแปลกใจนัก ผู้รับไม้ต่อไม่ใช่คนอื่นไกล เพราะเป็นดีไซเนอร์ที่เพิ่งวางมือจากแบรนด์ชื่อดังอย่าง Sarah Burton ที่ยุติบทบาทหัวเรือใหญ่ของ Alexander McQueen ไปไม่นาน ความคาดหวัง ณ จีวองชี่เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อข่าวนี้ถูกประกาศอย่างเป็นทางการ ซาร่าห์ที่เชี่ยวชาญเรื่องงานเทเลอริ่งผสมผสานความดาร์กโรแมนติกอาจเป็นส่วนผสมที่ลงตัวในการสร้างมาตรฐานใหม่ของจีวองชี่ให้กลับมาติดบนกระดานแถวหน้าของวงการแฟชั่นอีกครั้ง แม้ตอนนี้ยังไม่มีผลงานคอลเล็กชั่นมาให้ได้ชม แต่เชื่อว่าสาวกแฟชั่นจำนวนไม่น้อยรอติดตามผลงานของเธอกับเมซงสัญชาติฝรั่งเศสอยู่อย่างแน่นอน

ภาพ: Courtesy of Blumarine (by Julia von der Heide) / Courtesy of Blumarine (by Frederic Aranda)

  • BLUMARINE
    OUT: Walter Chiapponi
    IN: David Koma

สำหรับแบรนด์อย่าง Blumarine ก็มีการโยกย้ายเช่นกัน Walter Chiapponi ที่เพิ่งชิมลางสร้างผลงานได้เพียงฤดูกาลเดียวกลับโบกมือลาตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างสรรค์ไปอย่างรวดเร็ว จากเดิมแบรนด์มีแนวทางการรังสรรค์แฟชั่นที่จัดจ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมนต์เสน่ห์แบบ Y2K ที่ทำให้แบรนด์ฮิตติดลมบนอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การมาถึงของวอลเตอร์อาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะเขามาจากแบรนด์ Tod’s ที่มุ่งเน้นเรื่องานคราฟต์และใส่ใจกับความเรียบหรูเป็นสำคัญ การผสมผสานแนวแฟชั่น 2 รูปแบบเข้าด้วยกันจึงเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น ทว่ามันก็เกิดขึ้นได้ไม่นานนัก เพียงคอลเล็กชั่นเดียวกับผลงานคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว 2024 เขาก็ประกาศจุดยืนถึงการฉีกหนีแนวทาง Y2K อย่างเป็นประจักษ์ และนั่นก็ยังไม่ใกล้กับคำว่า “ลงตัว” เพียงไม่นานหลังนำเสนอโชว์ เขาก็แยกทางกับแบรนด์และยังไม่มีการแต่งตั้งคนใหม่ในทันที ผ่านไปประมาณ 3 เดือนบลูมารีนจึงค่อยประกาศแต่งตั้ง David Koma ขึ้นเป็นผู้อำนวยการสร้างสรรค์คนใหม่ เป็นอีกครั้งที่แบรนด์บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าจะสละแนวทาง Y2K อย่างชัดเจนและกำลังเฟ้นหาทิศทางความสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ เดวิดตั้งใจจะนำเสนอมนต์เสน่ห์ของความเย้ายวน หรูหรา และเป็นเหนือกาลเวลาตามฉบับดั้งเดิมกลับมารื้อสร้างใหม่อีกครั้ง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มุ่งเน้นเรื่องการค้นหาอัตลักษณ์ของแบรนด์ในโลกแฟชั่นยุคใหม่อย่างแท้จริง

ภาพ: Courtesy of Missoni

  • MISSONI
    OUT: Filippo Grazioli
    IN: Alberto Caliri

หากจะกล่าวถึงแบรนด์ที่มีการสลับโยกย้ายตำแหน่งหัวเรือใหญ่ต้องบอกว่า Missoni แทบจะเป็นแบรนด์เดียวในปีนี้ที่ไม่ได้ยื่นมือไปหาคนอื่นคนไกล เพราะ Filippo Grazioli ที่ทำงานกับแบรนด์มาร่วม 2 ปีครึ่งก้าวลงจากตำแหน่ง หลังสร้างผลงานน่าประทับใจกับการรื้อฟื้นความน่าตื่นเต้นของมิสโซนีให้กลับมาบนหน้าฟีดแฟชั่นยุคใหม่อีกครั้ง ทว่าสำหรับผู้บริหารอาจยังไม่สมบูรณ์แบบ แม้จะได้รับคำชมอยู่ไม่น้อย แต่ก็มีบางจุดที่เขาไม่ได้สร้างผลงานครอบคลุมไว้ โดยเฉพาะคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าบุรุษที่เป็นทีมสตูดิโอเป็นผู้รังสรรค์ และก็มีสัญญาณอย่างชัดเจนว่าเขาจะโบกมือลาเมื่อโชว์สุดท้ายเขาร่ำลาและสวมกอดกับทีมงานอย่างสุดซึ้ง หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์แบรนด์ก็ประกาศแยกทางกับเขาจริง ผู้มาสานต่อตำแหน่งคือ Alberto Caliri ที่อยู่กับแบรนด์มาตั้งแต่ปี 1998 และเคยรับตำแหน่งนี้แบบชั่วคราวมาแล้วในปี 2021 ก่อนจะผันตัวโยกย้ายภายในสู่ฝ่าย “Home Collection” โดยผู้บริหารมองว่าอัลเบอร์โตที่เชี่ยวชาญเรื่องนิตแวร์และสิ่งทอจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะพัฒนาแบรนด์ในขั้นต่อไป ซึ่งมองถึงการพัฒนาทั้งในไลน์เสื้อผ้าผู้หญิง เสื้อผ้าผู้ชาย รวมถึงไลฟ์สไตล์ และเชื่อว่านี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนเก่าแก่ของแบรนด์อย่างอัลเบอร์โตได้รับโอกาสครั้งใหญ่นี้อย่างเป็นทางการหลังจากร่วมงานกับมิสโซนีมานานเกิน 2 ทศวรรษ

ภาพ: Courtesy of Tom Ford / Courtesy of Tom Ford (by Ethan James Green)

  • TOM FORD
    OUT: Peter Hawkings
    IN: Haider Ackermann

หลังจาก Tom Ford ประกาศวางมือจากแบรนด์ภายใต้ชื่อตัวเอง คนทั่วโลกก็ต่างจับจ้อง Peter Hawkings ผู้จะมารับบทนักสร้างสรรค์ที่ถ่ายทอดมนต์เสน่ห์ตามแบบฉบับของดีไซเนอร์อเมริกันระดับไอคอน เหมือนเฉกเช่นทุกครั้งที่แบรนด์เลื่องชื่อเปลี่ยนแปลงดีไซเนอร์ ปรากฏการณ์นี้มาพร้อมความคาดหวังเสมอ ปีเตอร์คือทีมงานลูกหม้อทอม ฟอร์ดมาโดยตลอด ซึ่งเขาทำหน้าที่เบื้องหลังมานานกว่า 25 ปี นับตั้งแต่ Gucci เลยทีเดียว ผลงานคอลเล็กชั่นฤดูใบผลิ/ฤดูร้อน ปี 2024 ก็เปิดตัวได้อย่างสวยงาม บางคนอาจคิดว่ายังมีหลายจุดไม่ลงตัว แต่สัญญาณบ่งบอกไปในทิศทางเชิงบวก เพราะมนต์เสน่ห์ความเซ็กซี่เย้ายวน ความหรูหรา และการแอบซ่อนความขบถแบบเผ็ดแสบถูกตีความและนำเสนอได้อย่างมีชั้นเชิง ทว่าเพียงระยะร่วมปีเขาก็ออกจากตำแหน่งหัวเรือใหญ่นี้ไปอย่างเซอร์ไพรส์ โดยเหตุผลหลักจากผู้บริหารระบุว่าการรั้งตำแหน่งหัวเรือใหญ่อาจมีเรื่องของบุคลิกภาพและการนำเสนออันโดดเด่นนอกเหนือจากเรื่องเสื้อผ้า ซึ่งอาจเป็นที่มาของการเลือก Haider Ackermann ดีไซเนอร์มือฉมังก์อีกคนเข้ามารับช่วงต่อในเดือนกันยายน 2024 เถลิงศักราชใหม่ด้วยการควบคุมดูแลแบรนด์ทอม ฟอร์ดครบทุกไลน์ ตั้งแต่เสื้อผ้าผู้หญิง เสื้อผ้าผู้ชาย ไปจนถึงแอ็กเซสเซอรี่และแว่นตา พร้อมทั้งต้องกำกับดูแลเรื่องวิสัยทัศน์และทิศทางแบรนด์ไปในเวลาเดียวกัน นี่จะเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์แบรนด์ทอม ฟอร์ดที่คนนอกองค์กรจะเข้ามาควบคุมและกำกับหางเสืออย่างเป็นทางการ เชื่อว่าเป็นอีกการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้คนในโลกแฟชั่นต้องจับตามอง

ภาพ: Courtesy of Dries Van Noten / Courtesy of Dries Van Noten (by Sara Piantadosi)

  • DRIES VAN NOTEN
    OUT: Dries Van Noten
    IN: Julian Klausner

จากการเปลี่ยนตำแหน่งแบบเก้าอี้ดนตรี อีกหนึ่งประเด็นที่ไม่พูดถึงไม่ได้ในปีนี้คือการวางมือของดีไซเนอร์ระดับตำนานที่ปิดฉากเส้นทางการเป็นดีไซเนอร์และก้าวลงจากตำแหน่งหัวเรือใหญ่แบรนด์ตัวเอง เริ่มด้วย Dries Van Noten ที่ประกาศว่าเขาจะอำลาตำแหน่งและเกษียณอายุ นั่นทำให้แฟนๆ ต่างเฝ้ารอคอลเล็กชั่นสุดท้าย ซึ่งคือคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าบุรุษ ฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2025 ที่จัดขึ้นช่วงเดือนมิถุนายน 2024 การก้าวลงจากตำแหน่งพร้อมรับเสียงปรบมือสั่งลาครั้งสุดท้ายทำเอาสาวกแฟชั่นหลายคนกลั้นความรู้สึกไว้ไม่อยู่ จากเด็กหนุ่มนักออกแบบจากสถาบันแอนท์เวิร์ปกลายเป็นตำนานแห่งโลกแฟชั่น เขาสร้างชื่อมาตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ในปี 1986 ก่อนจะวางมืออย่างสมเกียรติในปี 2024 หลังจากนั้นทีมสตูดิโอก็รับช่วงต่อและนำเสนอคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2025 พร้อมกับการเฝ้าดูอยู่ไม่ห่างของดรีส ไม่กี่เดือนต่อมาก็มีข่าวประกาศว่าแบรนด์แต่งตั้ง Julian Klausner ทีมงานเบื้องหลังที่ทำงานกับแบรนด์มาตั้งแต่ปี 2018 ถือเป็นอีกหนึ่งดีไซเนอร์ในองค์กรอีกคนที่ได้รับการเลื่อนขั้นเข้ามารับตำแหน่งสูงสุดบนพีระมิด สิ่งที่เขาจะทำคือการรักษามาตรฐานและอัตลักษณ์อันทรงคุณค่าของแบรนด์ไว้เช่นเดิม ความท้าทายครั้งใหม่กำลังรออยู่ เช่นเดียวกับแฟนๆ ทุกคนที่ติดตามชมผลงานคอลเล็กชั่นอย่างเป็นทางการครั้งแรกของจูเลียน และอาจจะเช่นเดิมกับดรีสที่น่าจะให้กำลังใจเขาอยู่ไม่ห่างเช่นกัน

ภาพ: Courtesy of Alberta Ferretti / Courtesy of Alberta Ferretti (by Dario Catellani)

  • ALBERTA FERRETTI
    OUT: Alberta Ferretti
    IN: Lorenzo Serafini

อีกหนึ่งดีไซเนอร์ชื่อดังที่ประกาศอำลาตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างสรรค์และก้าวออกจากแบรนด์ตัวเองไปในปี 2024 คือ Alberta Ferretti ดีไซเนอร์หญิงชาวอิตาเลียนผู้สร้างผลงานอันเลื่องชื่อมานานหลายทศวรรษ ปัจจุบันด้วยอายุ 74 ปีถึงเวลาที่เธอต้องวางมือและเกษียณอายุหลังจากเปิดแบรนด์มาตั้งแต่ปี 1968 และเริ่มออกแบบคอลเล็กชั่นในปี 1971 ก่อนจะเริ่มพาแบรนด์เป็นขาประจำของมิลานแฟชั่นวีกตั้งแต่ช่วงปี 1981 เป็นต้นมา ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีเธอพัฒนาและเผยไลน์แฟชั่นย่อยออกมาควบคู่กับไลน์หลักของแบรนด์มาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นหนึ่งในดีไซเนอร์หญิงที่ยืนหยัดบนโลกแฟชั่นได้อย่างแข็งแกร่งและสามารถก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงที่มีกาลเวลาเป็นปัจจัยสำคัญได้อย่างทรงคุณค่า วันนี้ถึงคราวต้องลาจาก อัลเบอร์ตาจะไม่ใช่ผู้กุมบังเหียนแบรนด์ภายใต้ชื่อตัวเองอีกต่อไป จะมี Lorenzo Serafini มารับไม้ต่อสำคัญครั้งนี้แทน โดยลอเรนโซ่เป็นผู้กำกับดูแลไลน์ Philosophy ของอัลเบอร์ตามาตั้งแต่ปี 2014 เหมือนรางวัลครบรอบการทำงาน 1 ทศวรรษ เขาได้รับตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของแบรนด์ พร้อมความคาดหวังว่าจะสามารถหยิบยกมนต์เสน่ห์แบบฉบับของแบรนด์มาตีความและถ่ายออกมาได้อย่างมีคุณภาพ แนวทางของลอเรนโซ่ซึมซับมาจากการทำงานภายใต้ร่มเงาของดีไซเนอร์หญิงชาวอิตาเลียนมาเป็นเวลาพักใหญ่ เชื่อว่าเขาจะสามารถต่อยอดและสร้างแฟชั่นอันน่าประทับใจในแบบที่แฟนๆ ของแบรนด์จะต้องตื่นเต้นอย่างแน่นอน คอลเล็กชั่นแรกของเขาจะถูกนำเสนอในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2025 หรือคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว 2025 นั่นเอง

ภาพ: Vogue Runway (by Umberto Fratini)

  • FENDI (Womenswear)
    OUT: Kim Jones
    IN: -

เมื่อปรากฏการณ์เก้าอี้ดนตรีเริ่มขึ้น สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือตำแหน่งที่เว้นว่าง ซึ่งอีกหนึ่งข่าวใหญ่ประจำปี 2024 คือดีไซเนอร์ชื่อดังอย่าง Kim Jones ที่ควบทั้งตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของ Dior ฝั่งเสื้อผ้าบุรุษและ Fendi ฝั่งเสื้อผ้าสตรี ก้าวลงจากตำแหน่งแบรนด์หลัง โดยเป็นการเว้นช่องว่างอีกครั้งหลังจากเคยเกิดเหตุการณ์ตำแหน่งสุญญากาศมาแล้วในช่วงที่ Karl Lagerfeld เสียชีวิต เป็นอีกครั้งที่คนในแวดวงแฟชั่นได้สนุกกับการคาดเดาเพราะคิม โจนส์ถือเป็นดีไซเนอร์ระดับชั้นนำที่อาจไปลงเอยกับแบรนด์ระดับยักษ์ใหญ่อื่นๆ ได้อีก ถึงกระนั้นเหตุผลเบื้องหลังการอำลาตำแหน่งอาจทำลายจินตนาการของใครหลายคน เพราะแถลงการณ์ระบุว่าคิม โจนส์ออกจากตำแหน่งนี้เพื่อที่จะมุ่งมั่นกับการทำงานที่ดิออร์เป็นหลัก นับตั้งแต่การประกาศในช่วงต้นไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวว่าใครจะมาสานต่อตำแหน่งสำคัญที่ต้องดูแลทั้งไลน์เรดี้ทูแวร์และโอตกูตูร์ ตอนนี้คงอาจจะต้องให้ Silvia Venturini Fendi ทายาทของตระกูลรับจบไปทั้งหมดเสียก่อน

ภาพ: @jgalliano (Instagram)

  • MAISON MARGIELA
    OUT: John Galliano
    IN: -

Maison Margiela ยุคใหม่กับผลงานมหากาพย์ความน่าตื่นเต้นของ John Galliano คือกุญแจสำคัญที่ทำให้เมซงแห่งนี้มีชีวิตชีวามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานโอตกูตูร์ครั้งสุดท้ายที่สร้างความประทับใจตราตรึงสายตาผู้ชมทั้งขอบรันเวย์และผู้ชมบนโลกออนไลน์ ผลงานของจอห์นเป็นที่ประจักษ์และได้รับการพูดถึงทุกครั้ง ไม่เพียงได้รับการพูดถึง แต่ได้รับกระแสตอบรับขั้นสุดยอดเทียบเท่ากับโชว์ที่มีเซเลบริตี้ไหลหลั่งเข้ามาชมและสร้างมูลค่าทางสื่อจำนวนมหาศาล เมซง มาร์จีล่าก็สร้างมาตรฐานนั้นได้ด้วยความน่าตื่นเต้นจากโชว์ล้วนๆ นั่นทำให้ชื่อของจอห์นกลับเข้าสู่สารบบแฟชั่นอีกครั้ง หลังจากเคยเวียนว่ายหายไปบ้างในบางช่วงจังหวะเวลา ขณะทุกคนกำลังรอคอยผลงานแฟชั่นครั้งใหม่อย่างใจจดใจจ่อกลับมีประกาศว่าจอห์นกำลังจะแยกทางกับเมซง มาร์จีล่า หลังทำงานมานานร่วม 10 ปี โดยมีการคาดการณ์ว่าเขาอาจจะหวนคืนสู่เมซงระดับยักษ์ใหญ่อีกครั้งเพื่อปิดเส้นทางอาชีพดีไซเนอร์อย่างสมบูรณ์แบบ และ Dior ก็เข้ามาในข่ายความเป็นไปได้ โดยเฉพาะกับไลน์โอตกูตูร์อาจต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จอห์นจะไปลงเอยที่ไหน และใครจะมารับตำแหน่งที่เมซง มาร์จีล่า จะเป็น Glenn Martens ตามโผหรือไม่ ต้องติดตาม

ภาพ: Courtesy of Y/ Project (by Arnaud Lajeunie)

  • Y/PROJECT
    OUT: Glenn Martens
    IN: -

ต่อเนื่องจากการกล่าวชื่อ Glenn Martens ดีไซเนอร์ที่มาพร้อมไฟผลักดันอันร้อนแรง เจ้าของผลงานแฟชั่นที่ฮิตเป็นกระแสแทบทุกแบรนด์ที่เขามีส่วนร่วมทั้ง Diesel และ Y/Project แต่สำหรับแบรนด์หลังในปี 2024 เขาก็แยกทางกันอย่างสมบูรณ์ โดยเขาทำงานกับวายโปรเจกต์มานานกว่า 11 ปี และมีส่วนสำคัญทำให้แบรนด์รักษามาตรฐานและขยายตลาดแฟชั่นในแนวทางอันมีเอกลักษณ์อย่างทรงประสิทธิภาพ โชว์อำลาครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2025 กับคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2025 ณ ปารีสแฟชั่นวีก ซึ่งคาดว่าเหตุผลที่มีผลกระทบไม่มากก็น้อยคือเรื่องการเงินหลังบ้าน เพราะวายโปรเจกต์เคยพับโปรเจกต์โชว์ไปแล้วจากปัญหาสภาพคล่อง วันนี้แบรนด์เสียดีไซเนอร์ที่พัฒนาและสร้างปรากฏการณ์ในโลกแฟชั่นยุคใหม่ไปอย่างน่าเสียดาย เกลนน์กำลังมุ่งหน้าบนเส้นทางดีไซเนอร์ต่อไปในฐานะหัวเรือใหญ่ของดีเซล และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครถูกแต่งตั้งให้รับเผือกร้อน ณ วายโปรเจกต์ต่อจากเขา ไม่มีแม้แต่วี่แววหรือข่าวลือเลยด้วยซ้ำ

ภาพ: Courtesy of Helmut Lang

  • HELMUT LANG
    OUT: Peter Do
    IN: -

มหกรรมการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้มีเพียงแต่ดีไซเนอร์ฝั่งตะวันตกเท่านั้น แต่ดีไซเนอร์สายเลือดเอเชียที่โด่งดังอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอย่าง Peter Do ก็กำลังแยกทางกับแบรนด์ไอคอนิกของวงการแฟชั่นอย่าง Helmut Lang เช่นกัน จากผลงานการรังสรรค์แฟชั่นภายใต้แบรนด์ชื่อตนเอง ปีเตอร์ขยับขยายฐานแฟนคลับด้วยการรับตำแหน่งหัวเรือใหญ่คนใหม่ของเฮลมุต แลง และทำให้สาวกแฟชั่นหลายคนติดตามวิธีการตีความและนำเสนอแฟชั่นในแบบฉบับของปีเตอร์ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กรอบแนวคิดแบรนด์ตัวเองเพียงอย่างเดียว ซึ่งเขาก็ทำได้อย่างน่าประทับใจ คำวิจารณ์ส่วนใหญ่เทไปในทิศทางบวก มาพร้อมกับรูปแบบและวิธีการถ่ายทอดที่อาจไม่ได้หวือหวา แต่ก็ทรงประสิทธิภาพ ถึงกระนั้นปีเตอร์กลับแยกทางกับเฮลมุต แลงในเวลาอันรวดเร็ว เขาหยิบยกเอารากฐานแบบมินิมัลมาปรับแต่งเพื่อเสิร์ฟคนรุ่นใหม่ ซึ่งคาดว่าแบรนด์จะกลับสู่แนวทางการใช้ทีมสตูดิโอออกแบบพร้อมมีตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างสรรค์ในแต่ละส่วนแยกย่อยอีกครั้ง หากยังไม่มีข่าวคราวว่าจะแต่งตั้งดีไซเนอร์คนใดเป็นคนกุมบังเหียนสูงสุดเร็วๆ นี้

ภาพ: Vogue Runway (by Paolo Lanzi)

  • 3.1 PHILLIP LIM
    OUT: Phillip Lim
    IN: -

บทสรุปสุดท้ายที่ขาดไปไม่ได้คือการโยกย้ายลงจากตำแหน่งและเกษียณอายุของ Phillip Lim ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งดีไซเนอร์รุ่นเก๋าที่คร่ำหวอดในวงการแฟชั่นมาอย่างยาวนาน ทว่าความแตกต่างระหว่างเขากับ Dries Van Noten และ Alberta Ferretti คือแบรนด์ 3.1 Phillip Lim ยังไม่มีใครมารอสานต่อตำแหน่งนี้ ในส่วนของตำแหน่งบริหาร Wen Zhou ผู้ร่วมหุ้นส่วนธุรกิจจะดำรงตำแหน่งประธานต่อไป และฟิลลิปก็เผยว่าจะเริ่มต้นธุรกิจครั้งใหม่ แต่ไม่มีการระบุรายละเอียดที่แน่ชัด เขาทิ้งท้ายโลกแฟชั่นไว้ด้วยผลงานการเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีกับคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2025 ณ นิวยอร์กแฟชั่นวีก บทสรุปสุดท้ายของแบรนด์แฟชั่นฝั่งอเมริกาจากดีไซเนอร์สายเลือดเอเชียคนนี้ยังไม่จบลง หนังสือบทใหม่กำลังจะเปิดขึ้นทั้งในแง่ของแบรนด์และในแง่ของฟิลลิปที่เลือกจะเริ่มต้นเส้นทางความท้าทายครั้งใหม่ ปีหน้าเราอาจจะเห็นโฉมใหม่ของทั้ง 2 เส้นทางอย่างชัดเจนมากขึ้น

สุดท้ายปรากฏการณ์เก้าอี้ดนตรีประจำปี 2024 ดูเหมือนว่าจะสร้างความตื่นเต้นให้กับสาวกแฟชั่นทั้งขาจริงและขาจร เพราะเหล่าดีไซเนอร์ชั้นนำต่างสลับโยกย้ายกันอย่างหลากหลาย เราได้เห็นดีไซเนอร์หน้าเก่าที่คิดถึงหวนสู่สนามแฟชั่นอีกครั้ง เราได้เห็นดีไซเนอร์ที่เข้ามาแปลงโฉมแบรนด์ไปแบบคนละขั้ว เราได้เห็นการสลับโยกย้ายตำแหน่งกันภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง เราได้เห็นแบรนด์ยักษ์ใหญ่เตรียมการสู่ความสำเร็จในอนาคตด้วยดีไซเนอร์ผู้เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง หรือจะเป็นการเกษียณอายุและอำลาตำแหน่งของเหล่าตำนาน การเปลี่ยนผ่านของดีไซเนอร์ที่รั้งตำแหน่งได้ไม่นาน และการสละตำแหน่งของดีไซเนอร์จากแบรนด์ชั้นนำที่ยังไม่มีใครมาแทนที่ บทสรุปส่งท้ายปี 2024 จึงสร้างบทนำอันน่าตื่นเต้นให้กับปี 2025 ที่เชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างมากมายแน่นอน รับรองว่าโลกแฟชั่นจะสนุกเหมือนเดิมหรืออาจมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

WATCH

TAGS : VogueSpecial