หนึ่งในแฟชั่นไอเท็มที่สะท้อนภาพจำของฤดูร้อน แสงแดด เสียงของคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง หรือธรรมเนียมประจำเทศกาลสงกรานต์อย่าง ‘เสื้อฮาวาย’ หรือเสื้อลายดอก เชิ้ตแขนสั้นลายฉูดฉาดที่อาจดูเชยในบางสายตาแต่ก็เป็นหลักฐานชั้นดีถึงเรื่องราวการผสมผสานของวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง โดยเสื้อฮาวายกลายมาเป็นเครื่องแบบไม่ทางการยอดนิยมทั่วโลก แม้ในวันที่ไม่มีสงกรานต์แต่แน่นอนว่าเสื้อตัวนี้ต้องเคยแฝงอยู่ในตู้ใครหลายคน สิ่งที่น่าสนใจคือแม้เสื้อฮาวายจะถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการท่องเที่ยวหรือความผ่อนคลายแต่ต้นกำเนิดที่แท้จริงของเสื้อกลับมาจากความหลากหลายทางวัฒนธรรมผ่านการทอผ้าหรือการใช้วัฒนธรรมจากหลายประเทศมาเป็นส่วนหนึ่งของลวดลาย แม้เสื้ออาจจะดูเชยในบางสายตาแต่ก็เป็นลูกผสมของความหลากหลายที่ชัดเจนที่สุดทั้งยังยืนหยัดในวงการแฟชั่นมาอย่างยาวนาน

ต้นกำเนิด (ที่ไม่ลงรอย) ของเสื้อฮาวาย
หากย้อนกลับไปตามรอยประวัติศาสตร์ของเสื้อเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกได้ว่ามีต้นกำเนิดที่เกาะฮาวาย แต่หากจะหาผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงนับเป็นเรื่องยากนักเพราะมักมีสองชื่อที่ถูกหยิบยกมากล่าวอ้างอยู่เสมอ Ellery J. Chun และ Koichiro Miyamoto สองลูกหลานอพยพที่มาตั้งรกรากในเกาะฮาวาย ผู้เติบโตท่ามกลางยุคสมัยที่ฮาวายเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมทั้งตะวันตกและตะวันออก ด้วยความเป็นลูกผสมทางสังคมที่กำลังค้นหาตัวตน Chun ที่หลังเรียนจบก็กลับมาสานต่อธุรกิจร้านของชำในครอบครัว ณ โฮโนลูลู เขาได้ตัดสินใจเปลี่ยนร้านของชำให้กลายเป็นร้านขายเสื้อจากแรงบันดาลใจที่เห็นวัยรุ่นญี่ปุ่นใส่เสื้อผ้าเรยอนพลิ้วไหวตามลมและหนุ่มฟิลิปปินส์ในเสื้อบาติกหลากสี Chun เริ่มตัดเย็บเสื้อจากผ้ากิโมโนญี่ปุ่นฉาบไปด้วยลวดลายฉูดฉาด พร้อมวางจำหน่ายหน้าร้านกับป้ายชื่อ ‘Hawaiian Shirt’ เป็นครั้งแรกในปี 1932 ก่อนจะจดลิขสิทธิ์คำว่า ‘Aloha Shirt’ ในปี 1937 กับอีกเส้นเรื่องของ Miyamoto เจ้าของห้องเสื้อ Musa-Shiya the Shirtmaker ที่ได้เริ่มตัดเย็บเสื้อฮาวายแบบ Tailor Made โดยพิมพ์ลายและตัดเย็บด้วยกิโมโนสีสันสดใสตามธรรมเนียมญี่ปุ่นแต่กลับมีคัตติ้งที่ง่ายใส่สบายตามวัฒนธรรมตะวันตก โดยจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปี 1935 และเป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกการใช้คำว่า ‘Aloha Shirt’ ในเชิงมาร์เก็ตติ้งอย่างเป็นทางการ ซึ่งนับเป็นช่องโหว่โดย Chun ได้ทำการจดลิขสิทธิ์คำนี้ในเวลา 2 ปีต่อมา Aloha Shirt จึงเปรียบเสมือนตัวประกันสำคัญในศึกการแย่งชิงต้นกำเนิดใครดีใครได้ แม้จะไม่ชัดเจนนักแต่เรื่องราวนี้ก็ยิ่งตอกย้ำความตลกร้ายอย่างบางทีต้นคิดอาจไม่ได้รับเครดิตเท่าคนเคลม

การออกเดินทางครั้งแรกของเสื้อฮาวาย
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เป็นครั้งแรกที่เสื้อฮาวายได้ออกเดินทางข้ามมหาสมุทรไปพร้อมกับเหล่าทหารสหรัฐฯ ที่ปลดประจำการจากเกาะฮาวาย โดยพวกเขาพกวัฒนธรรมของเสื้อลวดลายเอิกเกริกกลับไปยังประเทศ ส่งให้เสื้อฮาวายจากเดิมที่เคยมีลวดลายญี่ปุ่นนำมาถูกดัดแปลงใหม่ให้เป็นลวดลายแบบตะวันตก อาทิ ปาล์ม อูคูเลเล่ หรือมะพร้าว นับเป็นการกลืนกินต้นฉบับโดยสมบูรณ์ และยิ่งตอกย้ำความยอดนิยมเมื่อนักออกแบบเสื้อผ้า Alfred Shaheen ได้ค้นพบมิติใหม่ของเสื้อจากการส่งทีมไปคลุกคลีกับวัฒนธรรมทางฝั่งเอเชียและแปซิฟิกในปี 1950 และถ่ายทอดแรงบันดาลใจเหล่านั้นผ่านลวดลายดั้งเดิมที่แฝงไปด้วยเสน่ห์ ซึ่งผลงานที่โด่งดังที่สุดของเขาคือลาย Tiare Tapa ภาพจำจากปกอัลบั้ม Blue Hawaii ของ Elvis Presley จากฝีมือการออกแบบของ Elsie Das ที่เธอได้สร้างลวดลายใหม่แทนลวดลายดั้งเดิมแบบญี่ปุ่น ด้วยผลงานชิ้นโบว์แดงนี้ทำให้เสื้อฮาวายได้กลายเป็นหนึ่งในแฟชั่นไอคอนแห่งป๊อปคัลเจอร์ของสหรัฐฯ ไปโดยปริยาย นอกจากนี้ยังมีแรงขับเคลื่อนจากคนดังอีกมากมายอย่างการปรากฏในลุคเสื้อฮาวายของ Leonarda DiCaprio ในเรื่อง Romeo & Juliet หรือ Bruno Mars ที่เติบโตในเกาะฮาวายขนานแท้ โดยเขามักปรากฏตัวในเสื้อฮาวายอยู่เป็นประจำ รวมไปถึงซีรี่ส์ The White Lotus ที่มีคอสตูมเสื้อฮาวายในโททัลลุคของหลายตัวละคร แม้แต่อดีตประธานาธิบดีอย่าง Dwight D. Eisenhower และ Harry S. Truman ต่างสวมเสื้อฮาวายอย่างภาคภูมิใจ จนในปี 1947 ที่รัฐได้ประกาศให้ทุกวันศุกร์เป็น ‘Aloha Friday’ แคมเปญที่ส่งเสริมให้ประชาชนสวมเสื้อฮาวายมาทำงานเพื่อสร้างบรรยากาศความสบายๆ ในวันทำงานวันสุดท้ายของสัปดาห์ ซึ่งแนวคิดนี้ได้ถูกดัดแปลงในหลายประเทศจนเกิดเป็น ‘Casual Friday’ ในหลายออฟฟิศ

ปัจจัยที่ทำให้เสื้อฮาวายครองพื้นที่ในวงการแฟชั่น
เมื่อมียุครุ่งโรจน์ก็ย่อมมียุคตกอับ ช่วงเวลาที่เสื้อฮาวายกลายมาเป็น ‘เสื้อลุง’ กับภาพจำของนักท่องเที่ยวพุงพลุ้ยแบกกระเป๋าหรือแม้แต่คุณอาที่จะไปรวมญาติในสวนหลังบ้าน กลายเป็นความเชยตามกาลเวลาและยุคสมัยที่ผันเปลี่ยน แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เสื้อฮาวายได้กลับมาเป็นกระแสอีกครั้งบนรันเวย์ระดับโลกของ Prada ในคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ 2011 ที่คืนชีพเสื้อฮาวายในสไตล์ใหม่ รวมถึงอีกหลายแบรนด์ แม้แต่ Richard Quinn แบรนด์หัวขบถก็ร่วมนำเสนอเสื้อฮาวายในสไตล์แปลกใหม่อย่างการปักเลื่อมทั้งตัวเสื้ออันสะท้อนว่าเสื้อฮาวายเป็นหนึ่งในพื้นที่สำหรับความคิดสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมอันไร้ขอบเขต ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เสื้อฮาวายไม่ตายไปจากวงการแฟชั่นคือความสามารถและธรรมชาติในการเป็นตัวแทนความหลากหลายทางวัฒนธรรม จากต้นกำเนิดของมันที่มาจากการผสมผสานความหลากหลายอย่างแท้จริง ไม่ใช่ของญี่ปุ่น จีน หรือฟิลิปปินส์ประเทศใดประเทศหนึ่งแต่คือมรดกจากการหลอมรวมเอกลักษณ์ของหลายเชื้อชาติจากเกาะเล็กๆ กลางมหาสมุทรแปฟิซิก นำเสนอผ่านวัสดุเนื้อผ้า คัตติ้ง แรงบันดาลใจ หรือลวดลาย รวมเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เสื้อฮาวายสามารถยืนระยะและครองพื้นที่ส่วนหนึ่งในวงการแฟชั่นอยู่เรื่อยมา

การมาถึงประเทศไทยของเสื้อฮาวาย
เช่นเดียวกับเสื้อลายดอกของไทยเองก็มีรากเหง้ามาจาก Aloha Shirt ของฮาวาย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ละลานตาไปด้วยลวดลายดอกไม้ ไม่ว่าจะเป็นดอกชบาสีสดหรือเชิ้ตแขนสั้นลายใบไม้ฟุ้งๆ ที่กลายมาเป็นภาพจำของความเป็นไทย เสื้อฮาวายเดินทางไปยังประเทศไทยผ่านการนำเข้าสินค้าแฟชั่นจากต่างประเทศโดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้กลายมาเป็นเสื้อลายดอกของไทยคือการถูกหยิบไปใช้ในประเพณีจนเกิดเป็นภาษาทางวัฒนธรรม ด้วยความที่เป็นเครื่องแต่งกายทางการสำหรับไปวัดแต่ก็แฝงไปด้วยความสบายสำหรับเล่นน้ำจึงไม่น่าแปลกใจที่เสื้อฮาวายลายดอกจะกลายเป็นภาพจำของสงกรานต์ สิ่งที่น่าสนใจคือประเทศไทยไม่ได้นำต้นฉบับเสื้อฮาวายมาใช้ทั้งหมดแต่กลับดัดแปลงเพิ่มอัตลักษณ์ตัวเองเข้าไปแทนที่ อาทิ ดอกชบาหรือดาวเรืองที่คนไทยคุ้นเคยมากกว่าต้นมะพร้าวหรือปาล์ม ผนวกกับสีสันจัดจ้านพร้อมแพตเทิร์นการตัดเย็บที่ถูกทำให้หลวมและสวมใส่ง่ายเข้ากับอากาศแถบเมืองร้อน โดยในแง่แฟชั่นเสื้อฮาวายในไทยยังเป็นไอเท็มทดลองมือให้แก่เหล่าสไตลิสต์และดีไซเนอร์อย่างแบรนด์ที่อยากเล่นล้อไปกับความขัดแย้งของเสื้อระหว่างความบ้านๆ กับความเป็นแฟชั่น ทำให้นอกจากสงกรานต์แล้วเสื้อฮาวายยังปรากฏเป็นไอเท็มสตรีตลุคหรือแฟชั่นวินเทจได้อย่างน่าทึ่ง
หากมองลึกลงไป เสื้อฮาวายไม่ได้เป็นไอเท็มแฟชั่นเท่านั้นแต่ยังเป็นเอกสารทางวัฒนธรรมชิ้นหนึ่งที่บันทึกการเดินทาง ตั้งแต่ออกจากฮาวายผ่านประเทศต่างๆ มากมายจนมาถึงประเทศไทยเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่าความหลากหลายทางวัฒนธรรมคือธรรมชาติของเสื้อฮาวายผ่านการ Appropriation ที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ของประเทศนั้นๆ อย่างเสื้อฮาวายในไทยไม่จำเป็นต้องเป็นของแท้จากเกาะฮาวาย ไม่จำเป็นต้องคัตติ้งหรือใช้ผ้าแบบญี่ปุ่น ไม่ต้องมีลวดลายแบบอเมริกัน แต่อาจจะเป็นเพียงเสื้อสำเร็จรูปไม่กี่ร้อยที่ให้ความสบายเสียมากกว่า
(สามารถติดตามอ่านเรื่องราว VOGUE SCOOP เพิ่มเติมได้ ที่นี่)
กราฟิก: จินาภา ฟองกษีร