‘ผ้าไหม’ หนึ่งในมรดกทางหัตถศิลป์ที่โด่งดังจนได้รับการยกย่องในระดับสากล หัตถกรรมเก่าแก่ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความประณีตงดงามและความละลานตาของลวดลายอันสะท้อนภูมิปัญญาชาวบ้านที่นำธรรมชาติมาหลอมรวมเข้ากับศาสตร์แห่งหัตถศิลป์ ถ่ายทอดออกมาเป็นความเคารพและความภาคภูมิใจในศิลปวัฒนธรรมไทยที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งข้อเท็จจริงนี้อาจเป็นเรื่องตลกร้ายที่ฉายา ‘ราชาผ้าไหมไทย’ กลับไม่ใช่คนไทยหากแต่เป็นชาวต่างชาติที่หลงใหลในเสน่ห์อันวิจิตรของผ้าไหม Vogue History ขอพาย้อนเรื่องราวของ James Harrison Wilson Thompson หรือที่รู้จักกันในนาม Jim Thompson ชายชาวอเมริกันผู้มากไปด้วยข่าวลืออย่างสายลับในคราบนักธุรกิจ กระนั้นไม่ว่าเนื้อแท้เขาจะเป็นใครก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคือผู้ที่เห็นคุณค่าและเป็นแรงผลักดันให้อุตสาหกรรมผ้าไหมไทยก้าวขึ้นไปสู่เวทีโลกอย่างแท้จริง
หากจะเริ่มปฐมบทของเรื่องราวทั้งหมดนี้คงต้องย้อนกลับไปช่วงใกล้สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในขณะที่ Jim ยังเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพสหรัฐฯ โดยช่วงเวลานี้เองเขามีโอกาสได้มาทำภารกิจที่ประเทศไทยในปี 1945 กับการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อบรรลุเป้าหมายและไฟสงครามมอดดับลง ในปีต่อมา Jim จึงปลดประจำการทหารพร้อมกับเจตนารมณ์ที่ทำให้เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ณ ประเทศไทยแห่งนี้ ผ่านความหลงใหลในวิถีชีวิตชนบทที่เป็นจุดเริ่มต้นของอาณาจักร Jim Thompson โดยเขาได้เริ่มโครงการใหม่อย่างการปรับปรุงโอเรียนเต็ลหนึ่งในโรงแรมที่มีชื่อของกรุงเทพฯ พลางกับการสัญจรไปทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพียงเพื่อเสาะหาลู่ทางในธุรกิจใหม่ที่เขาหลงใหลได้ไม่นานอย่างอุตสาหกรรมผ้าไหม ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าเศร้าที่หลังภาวะสงครามอุตสาหกรรมผ้าไหมทำมือซบเซาลงไปมาก ผนวกกับการมาแทนที่ของเครื่องจักรที่มีต้นทุนถูกกว่าและผลิตได้มากกว่าเริ่มเป็นที่นิยม ส่งให้ในขณะนั้นเหลือเพียงช่างทอผ้าเพียงไม่กี่รายที่ยังคงสานต่อภูมิปัญญาดั้งเดิมอย่างการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ย้อมด้ายและทอผ้าใต้ถุนบ้าน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า Jim มีสายตาที่เฉียบแหลมและความมุ่งมั่นที่เด็ดเดี่ยว เขามองเห็นศักยภาพในการผลักดันและพัฒนาให้ผ้าไหมทำมือเติบโตไปสู่ระดับโลก ซึ่งผ้าไหมไทย ณ ขณะนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาดโลกทั้งยังขาดการสนับสนุนด้านการผลิตและการตลาด อีกทั้งเสน่ห์ของผลงานหัตถศิลป์ที่แฝงไปด้วยความแตกต่างจากผลงานเครื่องจักร แม้จะมีความเรียบง่ายและสม่ำเสมอแต่กลับไร้ซึ่งจิตวิญญาณของการสานต่อศิลปวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของงานฝีมือ ด้วยเหตุนี้ Jim จึงวางแผนที่จะฟื้นฟูอุตสาหกรรมการทอผ้าไหมของไทยอย่างจริงจัง ในปี 1947 ขณะที่ Jim ยังคงมุ่งมั่นเสาะหาการทอผ้าไหมดั้งเดิมที่เริ่มจะเลือนหายไป เนื่องจากการหดหายของช่างฝีมือผนวกกับรายได้ที่สวนทางกับระยะเวลาการผลิต จนกระทั่งได้พบกับชุมชนทอผ้าที่ยังหลงเหลืออยู่อย่าง ชุมชนบ้านครัว ริมคลองแสนแสบ ชุมชนมุสลิมที่ถูกรายล้อมไปด้วยพุทธศาสนา หนึ่งในชุมชนความหวังที่ยังหลงเหลืออยู่ของอุตสาหกรรมผ้าไหมแต่ทว่าชาวบ้านเองก็ไม่ได้ทอผ้ากันเป็นงานหลักสักเท่าไร หลังจากทำความรู้จักและเรียนรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมทอผ้าร่วมกับชาวบ้านในชุมชนทำให้ Jim ได้ทราบในภายหลังว่าชาวบ้านคือแขกจามที่อพยพมายังกรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วในสมัยที่ไทยยังรบกับกัมพูชา เขาได้ปรึกษาหารือร่วมกับ James Scott ทูตพาณิชย์สหรัฐประจำประเทศไทยก่อนทั้งสองจะตกลงร่วมกันผลักดันการผลิตผ้าไหมทอมือเพื่อเป็นสินค้าส่งออกของไทย
หลังจากส่งออกได้ไม่นาน Jim ก็มีโอกาสได้นำตัวอย่างผ้าไหมไปยังอเมริกา โดยเขาใช้วิธีชาญฉลาดอย่างการเข้าพบ Frank Crowninshield บรรณาธิการนิตยสาร Vanity Fair ณ ขณะนั้นที่เขาเคยสนิทสนมด้วยและคิดว่าคนผู้นี้จะสามารถพาผ้าไหมไทยเข้าสู่วงการแฟชั่นระดับโลก และอีกหนึ่งบุคคลที่ Jim มองเห็นศักยภาพคือ Edna Woolman Chase บรรณาธิการนิตยสาร Vogue ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จอย่างลุล่วง เมื่อ Edna รู้สึกประทับใจในเสน่ห์ของผ้าไหมทำมือ ส่งให้ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เสื้อผ้าไหมที่ออกแบบโดย Valentina นักออกแบบเสื้อผ้าชื่อดังของนิวยอร์กขณะนั้นได้ปรากฏโฉมสู่สายตาชาวโลกบนนิตยสาร Vogue อย่างงดงาม หลังจากก้าวสู่อีกหนึ่งก้าวแห่งความสำเร็จแล้ว Jim ก็ได้ก่อตั้งบริษัท ‘Jim Thompson Thai Silk Company’ ขึ้นในปี 1948 เพื่อฟื้นฟูและพัฒนาเทคนิคการทอผ้าไหมไทยให้ขึ้นไปสู่ระดับสูงยิ่งขึ้นผ่านการร่วมมือกับช่างฝีมือไทยท้องถิ่นเพื่อรักษากลิ่นอาย ภูมิปัญญา และเอกลักษณ์ของผ้าไหมไทยให้คงอยู่ ทั้งยังพัฒนาในรูปแบบที่หลากหลายให้มีความโมเดิร์นทันสมัยมากขึ้น ด้วยการให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพและความละเมียดละไมในทุกขั้นตอนการผลิตทำให้ผ้าไหมของ Jim Thompson กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่การันตีถึงคุณภาพและความงามที่โดดเด่น นอกจากนี้ Jim ยังสร้างโรงงานและจัดตั้งโครงการอบรมช่างทอผ้าไหมเพื่อคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของการทอผ้าแบบชุมชนท้องถิ่น
การสร้างแบรนด์ Jim Thompson ได้เป็นจุดเชื่อมโยงที่ผสมผสานระหว่างความชั้นสูงเข้ากับภูมิปัญญาชาวบ้านได้อย่างลงตัว ทำให้เป็นที่ต้องการในหมู่นักสะสมจนส่งผลในเชิงเศรษฐกิจท้องถิ่นโดยเฉพาะภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เปี่ยมไปด้วยภูมิปัญญาการทอผ้าไหมดั้งเดิม Jim Thompson จึงไม่เพียงได้รับการยกย่องในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแต่ยังได้รับการยกย่องในฐานะผู้ทรงอิทธิพลในการรักษาและพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมไทยจนได้รับฉายา ‘ราชาผ้าไหมไทย’ นับเป็นหนึ่งในบุคคลคุณูปการในการส่งเสริมและผลักดันอันเป็นที่ประจักษ์ว่าตัวเขาหลงรักผ้าไหมไทยเพียงใด
และยุครุ่งโรจน์ของ Jim Thompson ก็ถึงคราวต้องหยุดชะงักเมื่อในปี 1967 ได้เกิดปริศนาการหายตัวไปของ Jim โดยเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในขณะเดินทางไปเที่ยวที่รัฐปะลิส ประเทศมาเลเซีย แม้จะมีการสืบสวนทั้งจากทางการไทยและมาเลเซียแต่ก็ไม่สามารถพบเห็นเบาะแส ส่งให้ปริศนาการหายตัวไปของ Jim เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่ยังคงน่าสนใจและเป็นที่สงสัย โดยเกิดข่าวลือถึงการเป็นสายลับในคราบนักธุรกิจที่แฝงตัวมาล้วงข้อมูลจากประเทศไทยส่งกลับไปยังสหรัฐฯ ซึ่งข่าวลือนี้ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หลงเหลือไว้เพียงมรดกที่ Jim Thompson ได้ทิ้งไว้ให้กับประเทศไทย ซึ่งนอกเหนือจากธุรกิจผ้าไหมแล้ว แต่รวมไปถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมไทยด้วยการผสมผสานโลกตะวันตกและโลกตะวันออกผ่านงานหัตถศิลป์ที่เปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์อย่างผ้าไหมของ Jim Thompson ที่ทรงคุณค่าระดับสากล นอกจากนี้บ้านของเขายังเป็นสถานที่สำคัญสำหรับแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง อันสะท้อนให้เห็นว่า Jim Thompson เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลและเป็นความทรงจำในอุตสาหกรรมผ้าไหมไทยมาจนถึงทุกวันนี้
(สามารถติดตามอ่านบทความ VOGUE HISTORY เพิ่มเติมได้ ที่นี่)
กราฟิก: จินาภา ฟองกษีร
Photo: Nik Wheeler / Getty Images and Courtesy of Jim Tomoson

Jim Thompson ร่วมกับ SARRAN เผยคอลเล็กชั่น ‘อรุณ’ คอลเล็กชั่นเครื่องประดับจากผ้าไหม!

Jim Thompson อวดโฉมคอลเล็กชั่น ‘Chinese New Year 2025’ ต้อนรับตรุษจีน 'ปีมะเส็ง' ด้วยลวดลายมงคล!

ผ้าไทยดังไกลระดับโลก! Jim Thompson ถูกเลือกใช้ใน 20 โรงแรมระดับโลกที่ได้รับรางวัล MICHELIN Key


