Vogue Thailand

FASHION

VOGUE HISTORY | ย้อนเรื่องราว Alexander McQueen ต้นกำเนิดกูตูริเยร์หัวขบถแห่งเมซง Givenchy

เรื่องราวการปะทะกันทางวัฒนธรรมและวิถีความคิดของ Alexander McQueen กับคนฝรั่งเศสกลายเป็นประเด็นร้อนแห่งวงการแฟชั่นที่ทำให้ดีไซเนอร์ระดับตำนานถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงในคอลเล็กชั่นโอตกูตูร์ครั้งแรกในชีวิต

โดย Nattanam Waiyahong
04 กรกฎาคม 2568

     เมื่อตารางปารีสโอตกูตูร์แฟชั่นวีกใกล้เข้ามาทุกที กระแสการจับตาเหล่าดีไซเนอร์ที่พร้อมนำเสนอเสื้อผ้าตัดเย็บชั้นสูงก็ทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตลอดหน้าประวัติศาสตร์แฟชั่นมีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผู้เข้ามากุมบังเหียนเมซงชั้นนำที่โดดเด่นด้านโอตกูตูร์เสมอมา Alexander McQueen ตำนานแห่งวงการแฟชั่นผู้เต็มไปด้วยความขบถและแนวทางการออกแบบที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของโลกก็มิวายโดนโจมตีเกี่ยวกับคอลเล็กชั่นเปิดตัวในฐานะหัวเรือใหญ่แห่ง Givenchy เมื่อปี 1997 สืบทอดจาก Hubert de Givenchy และ John Galliano ตามลำดับ

     อเล็กซานเดอร์ แม็กควีน ณ เวลานั้นถือเป็นดีไซเนอร์ไฟแรงที่เต็มไปด้วยวิถีการนำเสนอแฟชั่นในรูปแบบที่จัดจ้าน ล้ำเกินจินตนาการ ทว่ายังรักษามาตรฐานเรื่องงานฝีมือไว้อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานเทเลอริ่งที่เขาเคยคลุกคลีอยู่ในแวดวงสังคมช่างแห่งถนนเซวิลโรว์ ประเทศอังกฤษ การเข้ามาของเขาต่อจากจอห์น (กัลเลียโน) ถือเป็นดีไซเนอร์ชาวอังกฤษที่นำเสนอคอลเล็กชั่นโอตกูตูร์ ณ กรุงปารีส เป็นคนที่ 2 นับตั้งแต่สิ้นสุดยุค Charles Frederick Worth ความคาดหวังกับดีไซเนอร์ชาวอังกฤษพร้อมค่านิยมเกี่ยวกับการรังสรรค์เสื้อผ้าชั้นสูง โดยเฉพาะจากเมซงฝรั่งเศสขนานแท้จึงเต็มไปด้วยความคาดหวังและอคติที่เป็นอุปสรรคด่านใหญ่ของอเล็กซานเดอร์ แม็กควีน

     คอลเล็กชั่นโอตกูตูร์ ฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 1997 ภายใต้ชื่อ “Search for the Golden Fleece” เสื้อผ้าโทนสีขาว-ทอง พาจินตนาการถึงนิยายปรัมปรากรีก ผสมผสานกับมิติความอวองต์-การ์ด พร้อมสอดแทรกงานฝีมืออันเนี้ยบประณีตตามแบบฉบับของเมซง ต้องบอกว่าคอลเล็กชั่นนี้พลิกโฉมและสร้างเซอร์ไพรส์ ในยุคที่ไม่มีการพรีวิว ไม่มีสื่อโซเชียลแบบทันควัน ความน่าตื่นเต้นของโชว์จึงกลายเป็นที่จับตามองอย่างยิ่ง แต่แล้วมันก็กลายเป็นสนามอารมณ์ของเหล่านักวิจารณ์ชาวฝรั่งเศส เพราะวิถีแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ของอเล็กซานเดอร์ แม็กควีนไม่ค่อยถูกจริตกับพวกเขาเท่าไหร่นัก

     ท่ามกลางความดุเดือดคละคลุ้งหลังจบโชว์ อเล็กซานเดอร์ แม็กควีนได้รับคำวิจารณ์รุนแรงมากมาย หน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และแหล่งข่าวต่างๆ ล้วนวิจารณ์และให้เรตคะแนนแบบกรีดเลือด จนถือว่าคอลเล็กชั่นนี้เป็นคอลเล็กชั่นที่น่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์เชิงลบหนักหน่วงที่สุดตลอดชีวิตของเขา เหตุหลักไม่ใช่เพียงอคติแบบลอยตามลม แต่มีการตัดบทสัมภาษณ์ของดีไซเนอร์ที่กล่าวว่า “ไม่ได้เคารพต่ออูแบร์ เดอ จีวองชี่ ที่รับงานนี้เพราะรักแฟชั่น” กระแสการต่อต้านดีไซเนอร์อังกฤษคนที่ 2 ของเมซงจึงปะทุขึ้น

     “ทำไมคนฝรั่งเศสถึงไม่ตั้งแง่กับจอห์น กัลเลียโน” คำถามนี้หลายคนอาจเกิดขึ้นในหัว เพราะเงื่อนไขก็ถือเป็นคนอังกฤษและทำเสื้อผ้าที่มีเอกลักษณ์จัดจ้านตามแนวทางของตัวเอง คำตอบสำคัญคือจอห์นไม่ใช่ดีไซเนอร์หัวชนฝา ในขณะที่อเล็กซานเดอร์ไม่ได้ปรับตัวหรือแสดงถึงเจตนาในการเชื่อมประสานเข้ากับวัฒนธรรมฝรั่งเศสแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะเริ่มศึกษาภาษาหรือมีเพื่อนฝรั่งเศส เขาเดินทางไปกลับลอนดอน-ปารีสเป็นว่าเล่น ปารีสไม่ใช่ถิ่นของเขาโดยสมบูรณ์ จากเรื่องราวชีวิตส่วนตัวส่งผลถึงความรู้สึกที่คนฝรั่งเศสมีต่อเขาอย่างจริงจัง

     ชุดเทพนิยาย เขาแกะ ปีกทองสยาย และองค์ประกอบในโชว์กลายเป็นสิ่งที่คนไม่ได้คาดหวังจะเห็นจากอเล็กซานเดอร์ แม็กควีน ณ จีวองชี่ ไม่แม้แต่น้อย ผนวกกับเรื่องราวชีวิตส่วนตัว เขาถึงขั้นกล่าวว่าชาวฝรั่งเศสไม่สนับสนุนเขา ไม่ให้โอกาส ณ ตอนนั้นหลายคนยังยึดติดภาพผลงานเก่าแก่ของเมซง ภาพของ Audrey Hepburn แนวทางการออกแบบของดีไซเนอร์หัวขบถที่ต้องการถ่ายทอดจินตนาการของตัวเองกลับสวนทางกับความคาดหวังทั้งปวง ภาพในแบบ Breakfast at Tiffany’s ถูกลบล้างไปโดยสิ้นเชิง และแน่นอนว่าเทพนิยายตามหาขนแกะทองก็ไม่ใช่สิ่งที่สาวกแฟชั่นฝรั่งเศสพอใจ

     เหตุการณ์ดังกล่าวยิ่งตอกย้ำเรื่องราวความไม่ลงรอยกันระหว่างอเล็กซานเดอร์ แม็กควีนกับวิถีฝรั่งเศสอย่างชัดเจน แม้ต่อมาจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบแฟชั่นและโชว์จนกู้ศักดิ์ศรีและสร้างความเชื่อมั่นขึ้นมาได้จนรั้งตำแหน่งถึงปี 2001 ทว่าตลอดระยะเวลา ณ เมซงฝรั่งเศสแห่งนี้ อเล็กซานเดอร์ แม็กควีนยังคงถูกจดจำกับคอลเล็กชั่นเปิดตัวที่เหมือนการเปิดสงครามทางวัฒนธรรมกับคนฝรั่งเศส ความขบถในที่นี้จึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเรื่องผลงานบนรันเวย์ แต่หมายถึงความขบถในชีวิตส่วนตัวที่สร้างความร้อนแรงตั้งแต่ก่อนผลงานจะถูกเผยโฉมเสียอีก ดังนั้นหากจะกล่าวว่า “กูตูริเยร์หัวขบถ” เพื่อนิยามอเล็กซานเดอร์ แม็กควีนในฐานะผู้กุมบังเหียนของเมซงจีวองชี่ในเวลานั้นก็คงจะถูกต้องและแม่นยำที่สุด


(สามารถอ่านเรื่องประวัติศาสตร์กับ VOGUE HISTORY ตอนล่าสุดได้เพิ่มเติม ที่นี่)