FASHION
Peggy Moffitt จากความแปลกและแตกต่างสู่การเป็นไอคอนจากยุค ‘60s ที่เป็นอมตะเหนือกาลเวลาPeggy Moffitt คือนางแบบหญิงระดับตำนานผู้สร้างอิทธิพลและแรงขับเคลื่อนทางแฟชั่นและสังคมจนได้รับการพูดถึงจนถึงทุกวันนี้ |
หากพูดคำว่า “อินฟลูเอ็นเซอร์” ในปัจจุบันคงไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะคนจำนวนมากบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างมีสถานะเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจในด้านใดด้านหนึ่งเสมอ แต่หากย้อนกลับไปสู่ยุค 1960s มันอาจแตกต่างออกไป เพราะการสร้างแรงบันดาลใจจากตัวตนของใครสักคนไม่ได้มีเครื่องมือสนับสนุนแบบยุคปัจจุบัน และนั่นทำให้ Peggy Moffitt ตำนานนางแบบผู้เดินทางก้าวข้ามมิติของเวลาและความร่วมสมัยสู่ความล้ำสมัยอย่างมีนัยสำคัญ ข่าวร้ายคือเธอเสียชีวิตในช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2024 ปิดฉากไอคอนหญิงแห่งวงการแฟชั่น ศิลปะ และวัฒนธรรมระดับโลก วันนี้โว้กจึงจะพาย้อนสู่ช่วงเวลาอันน่าจดจำในชีวิตของเป็กกี้
โปสเตอร์ภาพยนตร์ You're Never Too Young (1955) ผลงานการมีส่วนร่วมเรื่องแรกของ Peggy Moffitt / ภาพ: IMDb
เป็กกี้เกิดในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เธอเติบโตในเมืองลอสแอนเจลิส เข้าเรียนโรงเรียนสำหรับผู้หญิงและเรียนบัลเลต์ ซึ่งต่อมามันกลายเป็นองค์ประกอบของรูปแบบท่าทางการนำเสนอและเป็นจุดขายของเป็กกี้เสมอมา เมื่อเข้ายุค 1950s เธอสนใจและเข้าเรียนใน Neighborhood Playhouse สถาบันสอนการแสดงอันเลื่องชื่อ ณ มหานครนิวยอร์ก ก่อนจะได้รับโอกาสจากค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Paramount Pictures มาทาบทาม ทว่ามันก็ไม่ใช่บทยิ่งใหญ่แจ้งเกิด เป็นเพียงบทเล็กๆ ที่ไม่ได้จารึกเครดิต ซึ่งมันก็กรุยทางให้เธอก้าวเข้าสู่โลกบันเทิงเคล้าโอกาสต่างๆ ที่จะเข้ามาในอนาคต
William Claxton (ซ้าย), Rudi Gernreich (กลาง) และ Peggy Moffitt (ขวา) ในปี 1965 / ภาพ: Jeanloup Sieff - Artsy
Rudi Gernreich คือผู้ค้นพบเพชรเม็ดงามอย่างเป็กกี้ ในปี 1954 มันเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนของชีวิต เช่นเดียวกับการพบกับ William Claxton ช่างภาพระดับตำนานในปี 1958 (ก่อนจะตัดสินใจแต่งงานกันในปี 1959) การเฉิดฉายของเป็กกี้กำลังจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เป็กกี้เบนทิศสู่การเป็นนางแบบอย่างชัดเจนในยุคนี้ และเริ่มเดินทางสู่เมืองแฟชั่นระดับโลกไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์ก ลอนดอน และปารีส ผลงานของเธอได้รับความสนใจ เป็นผลมาจากคาแร็กเตอร์ที่ขบถและโดดเด่นมีสไตล์ นับเป็นนางแบบหญิงคนแรกๆ ของโลกที่สามารถถ่ายทอดตัวตนออกมาผ่านผลงานจนได้รับการจดจำเป็นวงกว้างตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
WATCH
Peggy Moffitt กับผลงาน Who are you, Polly Maggoo (1966) โดย William Klein / ภาพ: Amazon UK
“Trio ที่แยกจากกันไม่ได้” หลังจากเป็กกี้และรูดี้พบกันก็หมายพรหมลิขิตด้านการงานที่ทั้งคู่มีอิทธิพลซึ่งกันและกันมาโดยตลอด ในขณะเดียวกันกับวิลเลียมทั้งเป็กกี้และรูดี้ก็มีส่วนร่วมในชีวิตของช่างภาพคนนี้เสมอมาเช่นกัน การสร้างสรรค์ผลงานของทั้งรูดี้ เป็กกี้ และวิลเลียมนั้นไม่สามารถแยกจากกันได้ ด้านชีวิตบินเดี่ยวของเป็กกี้ก็น่าสนใจเพราะเธอเติบโตขึ้นในทุกมิติ จนกระทั่งแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการและแสงสปอตไลต์ทุกดวงจับจ้องเมื่อปรากฏโฉมในภาพยนตร์เรื่อง Blow-Up และ Who Are You, Polly Maggoo? ในปี 1962 และ 1966 ตามลำดับ
Peggy Moffitt กับทรงผม Five-Point Cut อันเลื่องชื่อ / ภาพ: WWD
“ไอคอนแห่งยุค 1960s” หลังจากเริ่มชีวิตนางแบบมาตั้งแต่วัยรุ่น เป็กกี้เริ่มเข้าสู่ระดับท็อปในทศวรรษต่อมา เธอเริ่มพัฒนาสไตล์ให้โดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเมกอัพลุคจัดจ้าน ขนตาสะกดจิต และแน่นอนทรงผม ‘Bowl-Cut’ แบบอสมมาตรที่กลายเป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้ โดยทรงผมดังกล่าวได้รับการสร้างสรรค์โดย Vidal Sassoon สุดยอดตำนานแฮร์สไตลิสต์ชื่อดัง มันถูกเรียกว่าสไตล์ ‘Five-Point’ หลังจากนั้นเป็กกี้ก็กลายเป็นหญิงสาวที่แปลงโฉมความจัดจ้านในวงการนางแบบ ลองคิดดูว่านางแบบคนหนึ่งมีทรงผมที่ได้รับการตั้งชื่อเฉพาะ และยังคงได้รับการอ้างอิงถึงเป็นเวลาต่อเนื่องอีกหลายทศวรรษต่อมา
ผลงานภาพถ่ายต้นฉบับ Peggy Moffitt กับการสวม Monokini พร้อมท่าทางมือปิดหน้า ถ่ายโดย William Claxton สามีของเธอเอง / ภาพ: Klein Gallery Los Angeles
ตลอดช่วงยุค 1960s และ 1970s เป็กกี้ สามี และรูดี้ ประสบความสำเร็จอย่างมาก ผลงานของทั้ง 3 คนได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม สไตล์การถ่ายภาพของวิลเลียมที่มีเอกลักษณ์ แฟชั่นจัดจ้านตามแบบฉบับอวองต์-การ์ดของรูดี้ และแน่นอนว่าลุคอันสะกดตาที่ไม่เหมือนใครของเป็กกี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ระบุว่าทั้ง 3 คนแยกขาดกันไม่ได้คือเรื่องจริง ซึ่งผลงานหนึ่งที่ทำให้ทุกคนจดจำและมันเป็นแฟชั่นที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั้งโลกคือ ‘Monokini’ นี่คือโมเมนต์แห่งประวัติศาสตร์แฟชั่นที่สร้างอิทธิพลการขับเคลื่อน และกลายเป็นสัญญะที่แสดงออกผ่านผลงานทางศิลปะแฟชั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดผลงานหนึ่งของโลก
รูดี้เริ่มต้นไอเดียการรังสรรค์โมโนกินี่มาตั้งแต่ปี 1962 แต่ไม่ได้ต้องการนำเสนอสู่สาธารณะ เป็นเพียงไอเดียด้านศิลปะที่ผลิดอกออกผลจากการเปิดโลกอวองต์-การ์ดของเขา มันถูกเสนอให้กับ Diana Vreeland แห่งโว้กอเมริกาในปี 1962 โดยเป็กกี้คือนางแบบที่เป็นผู้สวมใส่และนำเสนออย่างเป็นส่วนตัวกับบรรณาธิการนิตยสารโว้ก และมันก็เกิดเป็นคำถามมากมายถึงเรื่องราวเบื้องหลังของชุดสุดวาบหวิว ผลงานชิ้นนี้สะท้อนภาพความอิสระและแนวทางอันเป็นธรรมชาติในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยเรือนร่างอันเป็นปกติธรรมดา ซึ่งไดอาน่าแนะนำรูดี้ว่าควรจะสร้างผลงานภาพถ่ายเพื่อบันทึกความจริงและมิติความสร้างสรรค์ฉีกกรอบที่เกิดขึ้น ทว่าชุดดังกล่าวไม่มีนางแบบคนใดยอมรับที่จะสวมถ่ายเลยแม้แต่คนเดียว
Peggy Moffitt กับ Monokini ในแบบเปลือยท่อนบนและไร้ซึ่งการนำมือมาปิด เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 1964 / ภาพ: WWD
ทั้ง 3 คนตัดสินใจจะส่งภาพโดยที่เป็กกี้เคยกังวัลกับการถ่ายแบบเปลือยท่อนบน แต่เธอก็ทำเพื่อดีไซเนอร์เพื่อนรักตลอดกาล ครั้งแรกที่มันถูกตีพิมพ์คือในนิตยสาร Look ฉบับวันที่ 2 มิถุนายน 1964 (หลังจาก LIFE ปฏิเสธการตีพิมพ์) โดยภาพแรกคือมุมหลังของเป็กกี้สวมชุดอันแสนวาบหวิว และต่อถัดมาเพียง 1 วัน Carol Bjorkman คอลัมนิสต์ของ WWD ก็ตัดสินใจตีพิมพ์พร้อมเผยโฉมภาพถ่ายมุมหน้าแบบเปลือยท่อนบนชัดเจน มันกลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหู ซึ่งมันถูกยกให้เป็นผลงานสุดจัดจ้านแห่งยุค 1960s และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของประเด็นเกี่ยวกับการนำเสนอตัวตนของผู้หญิงและการเผยเรือนร่างอย่างโจ่งแจ้ง
วิลเลียมคือช่างภาพคนเดียวที่ถ่ายภาพเป็กกี้กับชุดไอคอนิกชุดนี้ ภาพถ่ายและผลงานชุดโมโนกินี่กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวระดับโลก มีการวิจารณ์และแบนในหลายพื้นที่และจากหลายองค์กร เรื่องเลยเถิดไปถึงการแบนของพระสันตะปาปา รวมถึงเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศที่รัสเซียใช้เป็นเครื่องมือทางข่าวสารเพื่อโจมตีสหรัฐอเมริกา เรื่องราวของเป็กกี้และโมโนกินี่ยิ่งใหญ่และเป็นดั่งประวัติศาสตร์หน้าสำคัญ โดยต่อมาเธอระบุว่า “มันเป็นดั่งคำประกาศเชิงการเมือง มันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อสวมใส่ในพื้นที่สาธารณะ”
Rudi Gernreich และ Peggy Moffitt ในปี 1968 / ภาพ: Pleasurephoto Room
ต้องบอกว่าเป็กกี้คือมิวส์ของรูดี้โดยแท้จริง นอกจากเรื่องโมโนกินี่อันลือลั่นแล้ว เธอยังสวมชุดของรูดี้พร้อมนำเสนอความโดดเด่นด้านดีไซน์พร้อมคาแร็กเตอร์ความจัดจ้านของตัวเองอยู่เสมอ ตามรายงานระบุว่าเธอครอบครองชุดของรูดี้มากกว่า 300 ชิ้น และหลายชิ้นเป็นผลงานพิเศษที่ดีไซเนอร์คนดังไม่เคยผลิตเพื่อการขายมาก่อน อีกทั้งเธอยังมีส่วนสำคัญในแฟชั่นของรูดี้ นำมาสู่บันทึกเรื่องราวมากมาย รวมถึงนิทรรศการในพิพิธภัณฑ์ นับว่าเป็กกี้เป็นดั่งมิวส์คนแรกๆ ในวงการแฟชั่น และมันก็ถูกจารึกอย่างเป็นทางการว่าเป็นมิวส์ในเวลาต่อมา (การนิยามคำว่ามิวส์เกิดขึ้นหลังยุคของเป็กกี้)
ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษเป็กกี้คือสัญลักษณ์แห่งความขบถเหนือกรอบของสังคม และเป็นดั่งหญิงสาวผู้สร้างอิทธิพลและแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนมิติทางสังคมด้วยพลังอันแข็งแกร่งและเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ความขบถของเธอคือสมบัติชิ้นงามแห่งโลกแฟชั่นโดยแท้จริง แม้เธอจะเคยชินกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์และคำถามเกี่ยวกับเส้นทางชีวิตอันโลดโผน ทว่าเธอก็มีความเบื่อหน่ายกับบางสิ่งอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องโมโนกินี่ “ภาพช็อตดังกล่าวกระจายไปทั่วโลก คิดถึงบางสิ่งในชีวิตที่ใช้เวลาเพียง 1/60 วินาทีในการสร้างขึ้น ตอนนี้ลองจินตนาการว่าต้องใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อพูดถึงมัน ฉันคิดว่ามันเป็นภาพถ่ายที่สวยงาม แต่ฉันเหนื่อยในการพูดถึงมันแล้ว” ตอนนี้เธอลาจากโลกนี้ในตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2024 เธออาจไม่ต้องพูดถึงภาพดังกล่าวด้วยตัวเธอเอง แต่เรื่องราวความยิ่งใหญ่ของเป็กกี้อันเป็นไอคอนจากยุค 1960s จะยังคงถูกพูดถึงและไล่เรียงความสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์แฟชั่นอยู่เสมอ เพราะนี่คือสุดยอดตำนานที่โลกต้องจารึกถึงความโดดเด่นและอิทธิพลที่เธอสร้างพร้อมกับ ‘Trio’ ที่ไม่มีวันแยกขาดจากกัน วันนี้เธอคงมุ่งหน้าสู่อีกมิติและพบเจอกับวิลเลียมและรูดี้อีกครั้ง ในโลกใบนั้นทั้ง 3 คนอาจกำลังสร้างสรรค์ความสุดยอดจนกลายเป็นตำนานอีกครั้งก็เป็นได้
WATCH