FASHION
Lorenzo Riva ย้อนเรื่องราวตำนานกูตูริเยร์ชาวอิตาเลียนที่ใครหลายคนอาจลืมLorenzo Riva คือบุคคลสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์แฟชั่นที่เคยรั้งตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายศิลป์ของ Balenciaga |
ดีไซเนอร์บางคนอาจก้าวข้ามยุคสมัยและยังคงความโดดเด่นรักษาชื่อเสียงไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ในทางกลับกันดีไซเนอร์ที่เคยสร้างชื่อด้วยฝีมือการออกแบบในยุคสมัยหนึ่งอาจกำลังสูญหายไปจากสารบบ Lorenzo Riva กูตูริเยร์ชาวอิตาเลียนคือหนึ่งในนักออกแบบมากฝีมือที่ไม่ได้ก้าวข้ามยุคสมัยและประสบความสำเร็จในโลกยุคปัจจุบัน ชื่อเสียงของเขาค่อยๆ เลือนหายไป และเชื่อว่าคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยลืมไปแล้วว่าเขาเคยเป็นดาวดังที่ทำให้โลกแฟชั่นน่าสนใจมากเพียงใด ตอนนี้ข่าวเศร้าเกิดขึ้นเมื่อเขาจากไปอย่างไม่มีวันกลับ วันนี้โว้กจะร่วมไว้อาลัยเขาด้วยบทความที่กล่าวถึงช่วงสำคัญในอดีตของเขา
ภาพ: Gazzetta del Sud
ลอเรนโซ่เป็นชาวเมืองมอนซ่า เขาสนใจเรื่องแฟชั่นมาแต่ไหนแต่ไร และมีบันทึกว่าเขาเปิดอเตลิเยร์เป็นของตัวเองตั้งแต่อายุราว 18 ปี ซึ่งนับเป็นความท้าทายมากสมัยนั้น เพราะอิตาลีร่วมเหตุการณ์สำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนเขาอายุ 18 ปี นับเป็นเวลาเพียง 11 ปีหลังสงครามโลกจบลง การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม แฟชั่น และมิติด้านอื่นๆ นอกเหนือจากการฟื้นฟูบ้านเมืองและวิถีชีวิตจึงเป็นเรื่องสดใหม่ โดยเขายึดโยงเอารากฐานของครอบครัวมาเป็นแรงบันดาลใจ พี่สาวทั้ง 3 คนและแม่ของเขาคือแรงผลักดันและแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เขากล้าจะเดินบนเส้นทางแฟชั่นเมื่ออายุยังน้อยและอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่ได้เอื้อต่อเรื่องสวยๆ งามๆ มากนัก
ผลงานช่วงยุค ‘70s ของลอเรนโซ่ได้รับการพูดถึงอย่างมากในอิตาลี โดยเฉพาะการนำเสนอคอลเล็กชั่นโอตกูตูร์แรก ณ Palazzo Pitti ในปี 1972 ก่อนเขาจะย้ายถิ่นฐานสู่กรุงปารีสเพื่อออกตามล่าความสำเร็จในสเกลที่ใหญ่ขึ้น และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเชื่อมโยงกับแบรนด์ใหญ่อย่าง Balenciaga ด้วยตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ช่วงครึ่งหลังของยุค ‘70s และช่วงต้นของยุค ‘80s นับเป็นหัวเรือคนสำคัญที่ขัดเกลาแบรนด์ที่กำลังเดินหน้าในกรุงปารีสหลังจาก Cristóbal Balenciaga เสียชีวิต ก่อนที่เขาจะตัดสินใจกลับบ้านเกิดและเปิดอเตลิเยร์ถาวร ซึ่งเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเพราะมอนซ่าไม่ใช่เมืองดังสำหรับแฟชั่น เชื่อว่าผู้คนกว่าค่อนโลกรู้จักมอนซ่าในฐานะเมืองแห่งการแข่งขันความเร็วในดินแดนรูปทรงรองเท้าบู๊ตประจำยุโรป
ภาพ: Italy 24 Press News
ลอเรนโซ่ใช้เวลาร่วม 7 ปีในการทำให้อเตลิเยร์มั่นคงก่อนจะเริ่มนำเสนอคอลเล็กชั่นโอตกูตูร์ ณ กรุงโรมเมื่อปี 1991 ก่อนจะเริ่มทำโปรเจกต์คอแลบอเรชั่นกับศิลปินและนำเสนอคอลเล็กชั่นเรดี้ทูแวร์เป็นครั้งแรกในปี 1995 ในกรุงมิลาน อีกทั้งยังเดินหน้าพัฒนาแบรนด์ต่อจนสามารถทำโชว์นอกแผ่นดินอิตาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโชว์ที่กรุงโตเกียวเมื่อปี 1998 นับเป็นกูตูริเยร์ดั้งเดิมเพียงไม่กี่คนที่ก้าวออกจากกรอบแฟชั่นบนดินแดนยุโรปและนำเสนอแฟชั่นอย่างโดดเด่นในทวีปอื่น แบรนด์ยังคงดำเนินมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้หวือหวาหรือได้รับการพูดถึงมากนัก จนสุดท้ายเขาก็ขายแบรนด์ให้กับบริษัท Ittierre ที่ต่อมาเป็นหนี้หนักหนาถึงหลัก 88 ล้านยูโร เป็นอันปิดฉากชื่อลอเรนโซ่ไปเกือบจะสมบูรณ์
หากถามว่าความหมายของชีวิตในนิยามของลอเรนโซ่คืออะไรคงตอบได้ไม่ยาก เพราะแฟชั่นคือชีวิตของเขาโดยแท้จริง ลอเรนโซ่ในวัย 80 ปีเปิดแบรนด์อีกครั้งในชื่อ L’Or by Lorenzo Riva ซึ่งถือเป็นมรดกชิ้นท้ายๆ ที่เขามอบให้กับโลกแฟชั่น ในสายตาคนทั่วไปอาจไม่ได้คุ้นเคยหรือรับรู้ถึงความยอดเยี่ยมของลอเรนโซ่มากมายนัก แต่สำหรับชาวอิตาเลียนเขาคือตำนานที่ถูกขนานนามว่า “Maestro” ซึ่งเขาก็ได้รับการจดจำเกี่ยวกับผลงานถึงขั้นมีนิทรรศการ ณ Museo della Seta หรือพิพิธภัณฑ์ผ้าไหมในเมืองโกโม่ พร้อมชื่อสุดยิ่งใหญ่ “The Maestro is in the Soul. Lorenzo Riva: Fifty Years of Haute Couture” นอกจากนี้เขายังได้รับการจดจำในฐานะดีไซเนอร์ผู้สรรสร้างเสื้อผ้าให้กับภาพยนตร์อิตาเลียนหลากหลายเรื่อง และที่ขาดไม่ได้คือการแต่งองค์ทรงเครื่องให้กับเซเลบริตี้ชั้นนำ อาทิ Penélope Cruz, Jerry Hall และ Whitney Houston ตอนนี้เขาจากไปแบบไม่มีวันกลับ ณ โรงพยาบาล San Gerardo เมืองมอนซ่าบ้านเกิดด้วยวัย 85 ปี ฝีมือความเชี่ยวชาญเรื่องชุดแต่งงานและเสื้อผ้าโอตกูตูร์จะติดอยู่ในความทรงจำของเหล่าคนแฟชั่นตลอดไป
WATCH
WATCH