FASHION
อาลัยถึง Claude Montana ตำนานดีไซเนอร์ยุค 1980s ผู้เคยปฏิเสธตำแหน่งหัวเรือใหญ่แห่ง DiorClaude Montana คือดีไซเนอร์ที่สรรสร้างผลงานจนได้รับการขนานนามเป็นว่า ‘King of the Shoulder Pad’ และเป็นแรงบันดาลใจให้ดีไซเนอร์แถวหน้าของโลกหลายต่อหลายคน รวมถึง Alexander McQueen |
โลกแฟชั่นต้องเผชิญกับการสูญเสียอีกครั้งเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2024 ตามเวลาท้องถิ่นกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส Claude Montana อดีตดีไซเนอร์ผู้รังสรรค์ผลงานจนกลายเป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ชื่อดังแห่งยุคเสียชีวิตแล้วด้วยวัย 76 ปี คนในแวดวงแฟชั่นต่างร่วมอาลัยแด่การจากไปครั้งนี้อย่างสุดซึ้ง เรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับเส้นทางบนโลกแฟชั่นของโคลด มอนทาน่านั้นมีจุดเฟื่องฟูและตกต่ำ แม้ชื่อของเขาจะหายไปจากสารบบแฟชั่นยุคปัจจุบัน ทว่าความยอดเยี่ยมของในอดีตก็ทำให้ทุกคนย้อนนึกถึงและจดจำชื่อของเขาไปตลอดกาล
ดีไซเนอร์ผู้หลงใหลการใช้เครื่องหนังกำลังค้นหาแนวทางที่ใช่ในช่วงปลายยุค 1970s ดูเหมือนว่าเขาหยิบจับใช้มันจนเกินพอดีและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าแฟชั่นของเขามันไม่มีมิติ ถึงกระนั้นมันกลับเข้าถึงกลุ่มวัฒนธรรมรองที่เริ่มต้นติดตามและซึมซับมนต์เสน่ห์ในแบบของโคลดในช่วงต้น ต่อมาเขาก็เริ่มหยิบจับแรงบันดาลใจจากการตีความวิถีฟิวเจอริสติกในยุค 1970s มาวิเคราะห์และพยายามสร้างไดนามิกของแฟชั่นด้วยทักษะการตัดเย็บและทักษะการใช้เครื่องหนังที่โดดเด่น จนกระทั่งชื่อของโคลดค่อยๆ โดดเด่นขึ้น ในเวลาเพียงไม่กี่ปีโคลดกลายเป็นดีไซเนอร์ระดับแนวหน้าที่ทุกคนพูดถึง
ผลงานการออกแบบของ Claude Montana ที่มีเอกลักษณ์การใช้ซิลูเอตแบบ Power Shoulder จนได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘King of Shoulder Pad’ / ภาพ: AG Nauta Couture
รูปแบบการสร้างงานของเขาคือนิยามแฟชั่นประจำยุค 1980s โดยแท้ การใช้ ‘Power Shoulder’ คือเอกลักษณ์สำคัญที่ทำให้โคลดเป็นดาวเด่นของวงการและได้รับสมญานามว่า ‘King of Shoulder Pad’ เขาปรับใช้เทคนิคการตัดเย็บเนี้ยบประณีตมาผสมผสานกับวิธีออกแบบซิลูเอตเน้นช่วงไหล่ที่สร้างมิติความแข็งแกร่งหนักแน่น อีกทั้งยังสามารถใช้โทนสีอันหลากหลาย คลุกเคล้าความกลมกล่อมระหว่างงานฝีมืออันยอดเยี่ยมเข้ากับแฟชั่นที่สะดุดตาด้วยทุกองค์ประกอบตั้งแต่โครงสร้างแพตเทิร์น การตกแต่งรายละเอียด และที่ขาดไม่ได้คือสีสัน นอกจากนี้โชว์ของเขายังมีไฮไลต์เป็นชุดแต่งงานปิดท้ายโชว์ ซึ่งเหล่าคนแฟชั่นในยุคนั้นรอคอยเซอร์ไพรส์อันน่าตื่นเต้นจากโชว์โคลดเสมอ
Claude Montana นำเสนอแฟชั่นที่โดดเด่นทั้งองค์ประกอบของ Power Shoulder ผสมผสานกับเทคนิคการตัดเย็บและขึ้นแพตเทิร์นที่ละเอียดประณีต พร้อมทั้งการเลือกใช้โทนสีที่โดดเด่นเสมอมา / ภาพ: The Telegraph
ช่วงเวลาทองแห่งยุค 1980s ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เทรนด์แฟชั่นกับหัวไหล่ทรงพลังอยู่ไม่ยืนยงเกินหลักทศวรรษ โคลดมีการปรับแต่งซิลูเอตลดทอนความแข็งแกร่งช่วงหัวไหล่ลง และมันก็เป็นทางลาดลงของชีวิตไปพร้อมๆ กัน จากดีไซเนอร์ระดับท็อปที่ถูกยกขึ้นหิ้งไว้ระดับเดียวกับ Thierry Mugler เขากลับรักษาความมั่นคงไม่ได้สวนทางกับแบรนด์ Mugler ที่เติบโตและค่อยๆ แทรกซึมจนโลกแฟชั่นขาดไม่ได้ อัตลักษณ์ของเขาถูกกลืนกินด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เขาไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป ปลายยุค 1980s คือช่วงเวลาที่อาจกำหนดชีวิตของดีไซเนอร์คนนี้ให้ไม่สามารถก้าวขึ้นสู่เสียดฟ้าไปมากกว่านี้
WATCH
ผลงานโอตกูตูร์จากแบรนด์ Lanvin คอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว 2024 ออกแบบโดย Claude Montana / ภาพ: Courtesy of Lanvin
ต้องบอกว่าแสงสว่างในชีวิตของโคลดไม่ได้ดับมืดลงทันใด ชื่อของเขายังคงโด่งดังอย่างมากในยุค 1980s ถึงขนาดแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่าง Dior ทาบทามให้เขารับตำแหน่งหัวเรือใหญ่ในยุคเปลี่ยนผ่าน ทว่าเขากลับปฏิเสธเพราะต้องการอิสระในการทำงานแฟชั่น “ฉันไม่อยากได้เงินทั้งหมดนั่นแล้วเข้าไปอยู่ในคุก” โคลดเปรียบเปรยกรอบที่บีบรัดหากเขารับตำแหน่งสำคัญแห่งวงการในปีนั้น ตำแหน่งดังกล่าวจึงตกเป็นของ Gianfranco Ferré ทว่าเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธงานจากแบรนด์ชื่อดังเสียทีเดียว ในปีเดียวกันเขารับตำแหน่งผู้กำกับดูแลไลน์โอตกูตูร์ของแบรนด์ Lanvin อีกหนึ่งห้องเสื้อชั้นนำจากฝรั่งเศส ผลงานของเขาสร้างชื่อแต่ไม่สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนทางธุรกิจ ผลงานโอตกูตูร์ได้รับคำชมและรางวัล 2 ฤดูกาลติดต่อกัน ทว่ามันกลับไม่สร้างเงิน ลองแวงใช้เงินหมุนเวียนในระบบของไลน์โอตกูตูร์ภายใต้การดูแลของเขามากเกินไป และตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับโคลดเพื่อรังสรรค์ผลงานอันยอดเยี่ยมต่อไป
ภาพถ่าย Claude Montana และ Wallis Franken โดย Michael Comte ในปี 1993 / ภาพ: Vanity Fair
โคลดเดินทางด้วยความไม่มั่นคงในตลอดช่วงปลายยุค 1980s ถึงต้นยุค 1990s เขาระส่ำระสายอย่างหนักจนถึงขั้นก้าวลงจากผู้ดูแลไลน์เรดี้ทูแวร์ของแบรนด์ตัวเองในปี 1991 เขายังคงสร้างสรรค์ผลงานภายใต้ชื่อแบรนด์เดิม แต่ในฐานะบุคคลเบื้องหลังการทำเสื้อผ้าเพียงอย่างเดียว ชีวิตของเขาค่อยๆ ก้าวสู่ขาลงเต็มที่ เมื่อเขาผิดหวังกับชีวิตรัก และสร้างเซอร์ไพรส์เมื่อประกาศแต่งงานกับ Wallis Franken นางแบบและมิวส์ประจำตัว เนื่องจากเขาเปิดเผยอย่างชัดเจนว่าเป็น ‘Homosexual’ การแต่งงานครั้งนี้มีผลประโยชน์ด้านธุรกิจและทิศทางการทำงานที่ต้องการขยายตลาดให้กว้างขึ้น ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันนานกว่า 18 ปีก่อนตัดสินใจเข้าประตูวิวาห์ ทว่าเพียง 3 ปีวอลลิสก็เสียชีวิตด้วยสาเหตุการจบชีวิตตนเอง หลายคนมองว่าการแต่งงานเพื่อธุรกิจไม่ได้เกิดจากความรักทำให้โคลดไม่ได้ใส่ใจหรือเข้าถึงบทบาทในการใช้ชีวิตคู่อย่างเต็มที่ ความหนักหนาสาหัสของชีวิตขาลงยังไม่จบเพียงเท่านี้ แบรนด์ของเขาก็ตกต่ำอย่างถึงขีดสุดจนกระทั่งต้องยื่นล้มละลายในปี 1997 หรือเพียง 1 ปีให้หลังจากการจากไปของอดีตภรรยา
Claude Montana กับการเดินออกมาปิดท้ายโชว์พร้อมกับชุดแต่่งงานที่เป็นดั่งไฮไลต์ที่สาวกแฟชั่นรอติดตามอยู่เสมอ / ภาพ: British Vogue
หลังจากนั้นกลุ่มทุนจากปารีสเข้ามาถือครองกิจการและโคลดก็หมดสิทธิ์การดูแลธุรกิจแบรนด์ตัวเองโดยสิ้นเชิง เหลือเพียงสิทธิ์ในการออกแบบและรั้งตำแหน่งดีไซเนอร์ไปอีก 10 ปีเท่านั้น หลังจากไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ ดีไซเนอร์ผู้เลื่องชื่อคนนี้ก็กลับมานำเสนอความอิสระในรูปแบบที่ไม่มีกรอบจำกัดมาบีบรัดอีกครั้ง เขาเปิดไลน์ย่อยเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มตลาดที่เด็กลง สามารถเปิดไลน์น้ำหอม และกลับมาเป็นดีไซเนอร์ผู้สร้างแรงบันดาลใจอีกครั้ง เขาเป็นดีไซเนอร์ไม่กี่คนที่ถูกระบุในหน้าประวัติศาสตร์แฟชั่นว่าเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของ Alexander McQueen และอีกหลายต่อหลายคน วันนี้ชื่อเสียงและผลงานของเขาจะอยู่ในความทรงจำของสาวกแฟชั่นทั่วโลก ในขณะที่ตัวเขาจากไปแบบไม่มีวันกลับอีกแล้ว โว้กขอไว้อาลัยแด่จากการไปอย่างสุดซึ้งด้วยบทความเรื่องราวเบื้องหลังชีวิตชิ้นนี้
WATCH