FASHION

เธอคือใคร...เมื่อกษัตริย์อังกฤษยอม ‘สละราชสมบัติ’ เพื่อความรักของหญิงหม้ายชาวอเมริกัน

“ ข้าพเจ้าปรารถนาให้ทุกท่านได้เข้าใจว่า การตัดสินใจครั้งนี้มิได้เป็นไปโดยปราศจากการคำนึงถึงประเทศชาติ และจักรวรรดิที่ข้าพเจ้าได้รับใช้อย่างเต็มความสามารถตลอด 25 ปี ในฐานะเจ้าชายแห่งเวลส์ และล่าสุดนี้ในฐานะพระมหากษัตริย์ ทว่าทุกท่านโปรดเข้าใจข้าพเจ้าด้วยว่า ความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง และภาระหน้าที่แห่งองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งข้าพเจ้าเต็มใจยิ่งที่จะปฏิบัตินั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะกระทำ และรับผิดชอบกิจการงานทั้งปวง โดยปราศจากความช่วยเหลือ และการสนับสนุนจากสตรีที่ข้าพเจ้ารัก”

     นี่คือถ้อยแถลงสละราชสมบัติแห่งพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 บางส่วน ที่เคยสั่นคลอนสถาบันพระมหากษัตริย์แห่งอังกฤษมาแล้ว อีกทั้งหากจะกล่าวให้ถูก เมแกน มาร์เคิล ไม่สมควรถูกปักปรำว่าเป็น หญิงหม้ายชาวอเมริกันคนแรกในราชวงศ์อังกฤษ (ที่ดูเหมือนจะเป็นประเด็นปัญหาที่สำนักข่าวอังกฤษพากันสุมไฟ โหมกระพือตั้งแต่ที่เธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในราชวงศ์ ให้คล้ายกับว่าเธอเป็นของแปลก) หากก่อนหน้านั้นราชวงศ์อังกฤษยังได้รู้จักกับ วอลลิส ซิมป์สัน...

      

วอลลิส ซิมป์สัน หรือดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ / ภาพ : Wikipedia

 

     สุภาพสตรีชาวอเมริกัน บุตรสาวของ ทีเคิล วอลลิส วอร์ฟิลด์ กับ อลิซ ม็องตากู ผู้มีเลือดน้ำเงินของชนชั้นผู้ดีชาวอังกฤษ และชาวอเมริกันปะปนอยู่ในสายเลือดไม่น้อย ที่สืบต่อกันมาทั้งทางพ่อ และแม่ของเธอ เพราะหากสืบสายเลือดย้อนกลับไป ก็จะพบว่าบรรพบุรุษฝ่ายพ่อของเธอ คือหนึ่งในพลทหารร่วมรบในสมัยวิลเลียมผู้พิชิต ซึ่งต่อมาได้พูนบำเหน็จมากมาย ส่วนทางฝั่งแม่ก็มีบรรพบุรุษที่สืบเชื้อสายมาจากตะกูลผู้ดีเก่า แห่งไอร์แลนด์-อังกฤษ นางวอลลิส ซิมป์สัน จึงได้เรียนรู้มารยาทการเข้าสังคมชั้นสูง และการใช้ชีวิตในวิถีของผู้ดีมาจากครอบครัวของเธอ

     ในวัย 20 ปี นางวอลลิส ซิมป์สัน ได้ตัดสินใจสมรสกับ นายเรือโท เอิร์ล วินฟิลด์ สเป็นเซอร์ ซึ่งมีอายุมากกว่าเธอถึง 7 ปี และด้วยการตกหลุมรักอย่างรวดเร็วที่เกิดขึ้นทำให้เธอได้มองข้ามข้อเสียหลายอย่าง กระทั่งเมื่อได้ใช้ชีวิตคู่จึงเกิดปัญหาขึ้น กับการดื่มเหล้าอย่างหนักของนายเรือโทคนดังกล่าว ที่ต่อมายังกลายเป็นสาเหตุสำคัญในการหย่าร้างของทั้งคู่ เพราะไม่เพียงการดื่มเหล้าเท่านั้น หากยังรวมไปถึงการทำร้ายร่างกายเธอในขณะเมาอีกด้วย ไม่นานหลังจากหย่าร้างจากวินฟิลด์ นางวอลลิสยังได้มีโอกาสทำความรู้จักกับ เออร์เนสต์ ซิมป์สัน เศรษฐีชาวอังกฤษผู้ซึ่งกำลังจะหย่าขาดจากภรรยาของเขา ซึ่งนางวอลลิสพึงพอใจกับความเป็นชายหน้าตาดี และมีหัวคิดด้านการค้า อีกทั้งยังมีฐานะมั่นคงของเขา ทั้งคู่คบหากันกระทั่งในที่สุดก็ได้แต่งงานกัน ในปี 1928 ซึ่งในช่วงชีวิตนี้เองที่ทำให้เธอได้ย้ายตามสามีของเธอไปอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ได้พบรักกับนางวอลลิส ซิมป์สัน

พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 แห่งสหราชอาณาจักร / ภาพ : Wikipedia

 

     ในปี 1930 พระเจ้าจอร์จที่ 5 ได้ประทานที่ประทับให้แก่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 (ที่เวลานั้นดำรงพระยศเป็นเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งวินด์เซอร์) ณ Fort Belvedere สถานที่ซึ่งมีข่าวลือหนาหูว่าเจ้าชายทรงมีความสัมพันธ์กับหญิงแต่งงานแล้วหลายนาง หนึ่งในนั้นคือ เลดี้ เฟอร์เนส ที่ได้แนะนำให้พระองค์ได้รู้จักกับหญิงอเมริกันนามว่า วอลลิส ซิมป์สัน...

     เมื่อครั้งพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ได้ขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 20 มกราคม. 1936 โดยไร้เงาการสถาปนาสมเด็จพระราชินีข้างกาย หากก็เป็นที่รู้กันของเหล่าขุนนาง และชนชั้นสูงว่า พระองค์ได้ทรงควงนางวอลลิส ซิมป์สัน หม้ายสาวชาวอเมริกันออกงานส่วนพระองค์มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และพระองค์ยังทรงมุ่งมั่นที่จะแต่งงานกับหม้ายสาวคนนี้ ถึงแม้ว่าตอนนั้นเธอยังไม่ได้หย่าขาดจากสามีของเธอก็ตาม หลังจากที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ไม่กี่วัน พระองค์ยังทรงควงเธอออกงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ นับเป็นการสร้างความตกตะลึงแก่แวดวงสังคมและการเมืองโดยทั่วหน้า ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากฝ่ายรัฐบาลที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย



WATCH




สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 และวอลลิส ซิมป์สัน ดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ / ภาพ : NYpost

 

     หลังจากนั้นไม่นาน ชีวิตรักของพระองค์ก็ได้กลายเป็นเรื่องสำคัญของประเทศชาติขึ้นมาในทันที เมื่อพระองค์ได้แจ้งเจตจำนงอันแน่วแน่ที่จะอภิเษกสมรสกับนางวอลลิส ซิมป์สันให้ได้ แม้ว่าจะถูกคัดค้านจากผู้คนมากมาย เพราะในสมัยนั้นพวกเขาคิดว่าเธอไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นราชินีได้ เพราะนอกจากนางซิมป์สันจะเป็นชาวต่างชาติแล้ว เธอยังเป็นหม้ายจากการหย่าขาดกับสามีคนแรกซึ่งเป็นทหารอากาศชาวอเมริกัน ซึ่งในสมัยนั้นการหย่าขาดยังเป็นเรื่องล้ำสมัยอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอังกฤษที่กระแสความเชื่อส่วนใหญ่มองว่าการหย่าร้างเป็นสิ่งชั่วร้ายขัดกับหลักศาสนา หากที่ยิ่งเลวร้ายไปกว่านั้นขณะที่นางวอลลิสคบหากับพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 เธอก็ยังมิได้หย่าขาดกับสามีคนที่สองอีกด้วย นั่นยิ่งทำให้ความรักของทั้งคู่กลายเป็นที่โจษจันจากคนในสังคมอย่างรอบด้าน

     ในช่วงปลายปี 1936 พระองค์ทรงเรียกนายกรัฐมนตรี สแตนลีย์ บอลด์วินเข้าเฝ้า และได้แจ้งพระประสงค์ที่จะเสกสมรสกับนางซิมป์สันให้ทราบ (ซึ่งจะเกิดขึ้นทันทีที่นางวอลลิส ซิมป์สัน หย่าขาดจาดสามีคนปัจจุบันของเธอแล้วเรียบร้อย) ครั้งนี้เองที่พระองค์ได้ทรงตระหนักถึงแรงต้านทานชัดเจนจากปากของนายกรัฐมนตรี ที่ได้กราบทูลพระองค์ว่า “พสกนิกรจะไม่ยอมรับการเสกสมรสนี้อย่างแน่นอน หนำซ้ำในกรณีที่คู่ครองของพระองค์คือผู้ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นสมเด็จพระราชินีของประเทศแล้วด้วยนั้น ยิ่งไม่มีทาง” (เพราะการเลือกผู้ที่จะมาเป็นสมเด็จพระราชินีนั้นย่อมต้องฟังเสียงประชาชนด้วยด้วยสารพัด) แรงต้านทานจากทั่วทุกสาทิศหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งที่ยังมีเรื่องเล่าว่าปัญหาดังกล่าวเกือบจะทำให้คณะรัฐบาลต้องลาออกทั้งคณะ เนื่องจากไม่อาจยอมรับกระแสตีกลับที่จะเกิดขึ้นตามมาได้

ภาพถ่ายจากภาพยนตร์เรื่อง W.E. ในปี 2011 ฝีมือการกำกับโดย มาดอนนา / ภาพ : allaboutmadonna

 

     ความอ่อนแอด้วยเสียงสนับสนุนที่หายากขึ้นเต็มที ทางออกเดียวที่จะทำให้พระองค์ได้เสกสมรสกับนางวอลลิส ซิมป์สัน นั่นก็คือ การสละราชสมบัติ ในวันที่ 10 ธันวาคม 1936 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ทรงตัดสินใจสละราชสมบัติ โดยชี้แจงเหตุผลกับประชาชนว่า พระองค์ไม่อาจทรงรับภาระพระราชกรณียกิจของกษัตริย์ได้โดยปราศจากสตรีผู้เป็นที่รักคอยอยู่เคียงข้าง นับเป็นการทิ้งพระราชดำรัสสุดแสนโรแมนติกปนเศร้า ไว้เป็นหลักฐานต่างหน้า ให้สั่นคลอนราชบัลลังก์กษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร (ที่พระองค์ทรงครองราชย์ได้ยังไม่ครบขวบปี) พร้อมยืนยันให้ทุกคนได้เห็นว่า สำหรับพระองค์แล้วความรักนับเป็นสิ่งสำคัญเหนือกว่าสิ่งอื่นใด

     แม้ว่าบทรักของทั้งคู่บนหน้าประวัติศาสตร์จะจบลงไปแล้วก็ตาม หากยังทิ้งร่องรอยเป็นเรื่องเล่าที่ถูกเล่าขานต่อกันมาไม่รู้จบ กระทั่งวงการภาพยนตร์ยังได้หยิบยกเรื่องราวดังกล่าว มาสร้างเป็นภาพยนตร์รักสุดซึ่งภายใต้ชื่อเรื่องว่า W.E. ในปี 2011 ฝีมือการเขียนบท และกำกับโดยศิลปินในชื่อดัง มาดอนน่า ที่ทำเอาใครหลายคนต้องเสียน้ำตากันมาแล้ว...

WATCH

คีย์เวิร์ด: #RoyalFamily