หลังจากที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ เจ้าชายชาร์ล พร้อมด้วยเจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งเคมบริดจ์ และเจ้าชายแฮร์รี่ ดยุกแห่งซัสเซกซ์เข้าเฝ้า ที่พระตำหนักแซนดริงแฮม มณฑลนอร์ฟอล์ก เมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่ผ่านมา เพื่อหารือเกี่ยวกับบทบาทของเจ้าชายแฮร์รี่ และเมแกน มาร์เคิล ดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ หลังจากนี้...

     โดยหลังจากการหารือดังกล่าว สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ได้ทรงออกแถลงการณ์สำคัญ ทรงรายงานผลการประชุมโดยมีใจความสำคัญว่า "วันนี้ครอบครัวราชวงศ์ของเรามีการหารือที่สร้างสรรค์อย่างพร้อมหน้า เกี่ยวกับอนาคตของหลานชายอาร์ชี และครอบครัวซัสเซกซ์ของเขา โดยสมาชิกครอบครัวราชวงศ์ และข้าพเจ้า เห็นด้วย และจะสนับสนุนความต้องการของเจ้าชายแฮร์รี่ และเมแกน มาร์เคิลอย่างเต็มกำลัง ที่ทั้งคู่ต้องการจะสร้างชิวิตใหม่ พร้อมกับครอบครัวเล็กๆ ของเขา และแม้ว่าเราจะยังต้องการให้ทั้งคู่เป็นสมาชิกแห่งราชวงศ์อังกฤษ ที่ยังต้องปฏิบัติภารกิจให้กับราชวงศ์อย่างเต็มเวลาเช่นเคย แต่เราทุกคนก็เคารพในการตัดสินใจของทั้งคู่ที่ต้องการย้ายไปอยู่อเมริกาเหนือ ประเทศแคนาดา เพื่อความเป็นส่วนตัว และอิสระมากขึ้น และจะยังสมดุลเวลาระหว่างอเมริกาเหนือ และสหราชอาณาจักร เพื่อกลับมาทำงานสนับสนุนราชบัลลังก์อยู่เรื่อยๆ" โดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงใช้คำสำคัญเพื่ออธิบายช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ว่า "ช่วงเวลาปลี่ยนผ่าน"

     ในแถลงการณ์ยังกล่าวต่อไปถึงประเด็นกองทุนสาธารณะอีกว่า "ดยุก และดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ ปรารถนาที่จะหยุดรับเงินรายได้รายปีส่วนพระมหากษัตริย์ (Sovereign Grant) ที่มีสัดส่วน 5% จากรายได้ทั้งหมด หลังจากที่ทั้งคู่ตัดสินใจย้ายไปใช้ชีวิตใหม่ที่ประเทศแคนาดาแล้ว" ก่อนที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 จะทรงกล่าวทิ้งท้ายไว้ในแถลงการณ์ว่า "ด้วยความซับซ้อนของประเด็นปัญหา จึงยังมีสิ่งที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จอีกมากมาย แต่พระองค์คาดว่าจะมีการตัดสินใจครั้งสุดท้ายในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้"

     ยังคงมีอีกหลายประเด็นให้ได้ติดตามกันต่อไปว่า อนาคตของครอบครัวซัสเซกซ์จะดำเนินต่อไปในทางไหน เพราะประเด็นปัญหา การขอลดบทบาทการเป็นสมาชิกราชวงศ์ พร้อมทั้งยังต้องการออกไปสร้างชีวิตอันอิสระ และไม่รับเงินกองทุนกลางรายปีส่วนพระมหากษัตริย์นั้น ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และนับเป็นเรื่องละเอียดที่สื่อทุกสำนักต่างพากันจับจ้องว่า ราชวงศ์วินด์เซอร์จะรับมืออย่างไรต่อไป...