หากจะกล่าวประวัติของสีคงมีที่มาอย่างไม่รู้จบ อย่างเช่นสีม่วงที่เคยเป็นสีที่ถูกสงวนไว้ใช้สำหรับชนชั้นสูงเท่านั้นในสมัยก่อน นอกจากจะผลิตจากวัตถุดิบที่หายากแล้ว ขั้นตอนการผลิตก็แสนยากไม่แพ้กัน จึงทำให้สีม่วงมีราคาที่สูงมากในอดีต วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับประวัติศาสตร์สีชั้นสูงสีนี้กัน

 

ภาพ: Citizenwolf

     สีม่วงในสมัยก่อนมีที่มาจากหอยทากทะเลที่มีชื่อว่า Murex Snail เป็นหอยทากที่พบได้ในเฉพาะทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยขั้นตอนการผลิตสีม่วงนั้นจะต้องใช้หอยจำนวนมากถึง 12,000 ตัว แลกมากับสีย้อมเพียงแค่ 1.4 กรัม เร่ิมตั้งแต่การล่าหอยให้ได้ปริมาณมาก จากนั้นนำมาทุบให้เมือกสีม่วงไหลออกมาและนำไปต้มให้สีออกและหมักจนกลายเป็น “สีม่วงไทเรียน” จากขั้นตอนการผลิตและวัตถุดิบก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสีม่วงถึงถูกสงวนไว้ให้คนชนชั้นสูง เพราะในสมัยนั้นสีม่วงมีราคาสูงถึง 1,900,000 บาท เมื่อนำมาย้อมเป็นผ้าคลุม

 

ภาพ: Wikipedia

     ในยุคสมัยไบเซนไทน์มีกฎหมายสำหรับการขายสีม่วงไทเรียนบัญญัติไว้ว่า สีม่วงสามารถขายให้ใครได้บ้างและผู้ขายต้องได้รับอนุญาตในการขายอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการจำกัดการซื้อขาย สงวนไว้ให้ใช้สำหรับชนชั้นปกครองเท่านั้น ซึ่งอาณาจักรไบเซนไทน์ได้ใช้สีม่วงจนได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้กำเนิดของสีม่วง

 

ภาพ: Dailysabah

     หลังจากนั้นไม่นานอาณาจักรไบเซนไทน์ที่เคยรุ่งเรืองก็ต้องจบลงจากการถูกโจมตีเมืองหลวงโดยนักรบครูเสด ทำให้ชนชั้นปกครองไม่สามารถที่จะใช้เงินฟุ่มเฟือยไปกับการใช้จ่ายในการซื้อของสีม่วงได้ การที่อาณาจักรไบเซนไทน์ไม่ได้ใช้สีม่วงแล้วถึงเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการล่มสลายทางเศรษฐกิจและบ้านเมือง

 

ภาพ: Wikipedia

     ต่อมาสีม่วงก็ยังถูกสงวนให้เป็นสีของชนชั้นสูงอยู่ในสมัยควีนเอลิซาเบธที่ 1 โดยมีกฎว่าผู้ที่ใส่สีม่วงได้นั้นจะต้องเป็นกษัตริย์หรือราชินี หรือเป็นคนที่เป็นเครือญาติกับกษัตริย์และราชินีโดยตรง ถ้าในสมัยนั้นเห็นใครใส่สีม่วงก็สามารถแยกได้เลยว่าเป็นผู้ที่มีเชื้อพระวงศ์โดยตรง จากเรื่องราวทั้งหมดนับว่าประวัติศาสตร์ของสีม่วงมีมายาวนานจนกลายมาเป็นสีที่สามารถใช้ได้ทั่วไปในปัจจุบัน แต่ยังไงก็ตามสีม่วงก็ยังเป็นสีที่แสดงถึงความเรียบหรูดูมีระดับ และเป็นสีที่คลาสสิกอยู่เหนือกาลเวลา