FASHION

กะเทยทุกคนไม่ใช่ช่างแต่งหน้า...เรื่องเล่าผู้จัดการดาราของ 'เกล้า น้ำพราว' และสถานะของ LGBTQ+

'เกล้า น้ำพราว' ผู้จัดการนักแสดงที่เคยอยู่แต่เบื้องหลังความสำเร็จของนางเอกแถวหน้า ปัจจุบันเข้ามาอยู่ใต้สปอตไลต์ในฐานะอินฟลูเอนเซอร์ที่ทั้งสไตล์การแต่งตัวและไลฟ์สไตล์มีผู้ติดตามมากมาย

บทสัมภาษณ์จากนิตยสารโว้กประเทศไทย ฉบับมิถุนายน 2021 ฉลอง #PRIDEMONTH

 

วิกรม โพธิ์ตระกูล (เกล้า) หรือ “เกล้า น้ำพราว” ผู้จัดการนักแสดงที่เคยอยู่แต่เบื้องหลังความสำเร็จของนางเอกแถวหน้า ปัจจุบันเข้ามาอยู่ใต้สปอตไลต์ในฐานะอินฟลูเอนเซอร์ที่ทั้งสไตล์การแต่งตัวและไลฟ์สไตล์มีผู้ติดตามมากมาย และกำลังก้าวเดินอยู่บนเส้นทางของผู้จัดละครหน้าใหม่ที่หลายคนจับตามอง

 

V: เป็นข่าวมาแล้วหลายเรื่อง ดราม่าก็มีให้เสพประปราย แต่เรื่องหนึ่งที่ดูเหมือนไม่เคยเป็นประเด็นเลยคือเพศสภาพ คิดว่าทำไมถึงไม่มีใครตั้งข้อสังเกตหรือสงสัยไต่ถามเรื่องนี้เลย 

K: คิดว่าส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเราเองก็เป็นคนที่ไม่เคยซีเรียสเรื่องเพศของตัวเองเลย ไม่เคยอายในสิ่งที่เราเป็นด้วย ไม่งั้นคงไปขอเปลี่ยนชื่อเป็นผู้หญิงนานแล้ว แต่ถึงจะเปลี่ยนชื่อไปประเทศไทยก็ยังไม่อนุญาตให้เราเปลี่ยนคำนำหน้านามอยู่ดีถูกไหม ซึ่งมันเป็นปัญหามากเลยเวลาเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ที่อินเดียเคยเจอครั้งหนึ่ง ต่อแถวอิมมิเกรชั่นอยู่ดีๆ เขาก็ขอให้แยกเป็นชายหญิงอย่างละแถว แล้วเราเนี่ยถ้าตามเพศสภาพก็ต้องไปอยู่แถวผู้หญิง แต่พอเขาดูพาสปอร์ตว่าเป็นมิสเตอร์ เจ้าหน้าที่ผู้หญิงก็ชะงัก แล้วนางก็ไปเรียกเพื่อนแห่แหนกันมาดูเหมือนเราเป็นตัวประหลาด ส่วนที่จีนถ้าจะเดินทางไปทุกครั้งต้องไปรายงานตัวที่สถานทูตก่อน ต้องทำวีซ่าใหม่ทุกครั้ง เพราะเขาจะให้ตามวันที่เราทำงานเป๊ะๆ เลย ทำงาน 3 วันก็ได้วีซ่า 3 วัน แม้ว่าจะเคยไปแล้วเป็น 10 รอบก็ตาม ต้องมีหนังสือแจ้งที่ระบุว่าจะไม่ขึ้นทำการแสดงใดๆ ปัญหาจากการทำงานและการติดต่อราชการพวกนี้แหละที่ทำให้เรารู้สึกว่าขอเปลี่ยนคำนำหน้าเถอะ เราไม่ได้ดัดจริต ไม่ได้อยากแอ๊บแอ้เป็นนางสาว แต่ดิฉันต้องการความสะดวกในการทำงาน ถ้าเป็นฝั่งยุโรปนี่ไม่มีปัญหาอะไรเลยนะ เพราะเขาสู้กันมายาวนาน มีความเป็นกลุ่มก้อน มีเฟสติวัลมีอะไรของเขา และเป็นเฟสติวัลที่ไม่ใช่แค่ออกมาแต่งตัวสวยๆ กันอย่างเดียวเหมือนของไทยนะ ซึ่งมันทำให้คนที่มีพาวเวอร์จริงๆ หรือคนในวงการบันเทิงเองก็ยังไม่ค่อยออกมารณรงค์เรื่องนี้เพราะเห็นว่ามันไร้สาระ กลายเป็นคาร์นิวัล ไม่ใช่การรณรงค์ต่อสู้เพื่อสิทธิ

V: สำหรับเกล้า คนในวงการบันเทิงไทยมอง LGBTQ+ อย่างไร

K: ยกตัวอย่างดีกว่า เกล้าเคยไปนั่งอยู่ที่กองถ่าย ได้คุยกับนักแสดงคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จักเรา คุยไปสักพักเขาก็ถามว่าเราแต่งหน้าอยู่กองไหนล่ะ เพื่อนเขาอีกคนต้องอธิบายว่าคนนี้เป็นผู้จัดละครนะ เป็นผู้จัดการใหม่ ดาวิกาด้วย เหมือนทุกคนเห็นกะเทยในกองถ่ายปุ๊บจะคิดได้อย่างเดียวว่าต้องเป็นช่างแต่งหน้า ไม่ใช่ว่าอาชีพช่างแต่งหน้าไม่ดีนะคะ เพราะสมัยนี้ช่างแต่งหน้าบางคนมีรายได้เยอะกว่าพระเอกนางเอกอีก แต่รู้สึกว่าอย่ามองด้วยมุมที่คับแคบสิ กะเทยไม่ได้เป็นได้แค่ช่างแต่งหน้าและช่างแต่งหน้าก็ไม่ใช่อาชีพที่จะมาดูถูกได้ด้วยนะในสมัยนี้

 

V: แล้วการเป็น LGBTQ+ ในวงการบันเทิงไทยมีข้อได้เปรียบเสียเปรียบอย่างไรไหม

K: เราต้องไฟต์มากกว่าผู้ชายผู้หญิงทั่วไปเหมือนกัน เพราะอย่างที่บอกว่าคนจะตีกรอบไว้ว่ากะเทยจะต้องเป็นช่าง ไม่ใช่แบบช่างไฟนะคะ (หัวเราะ) อันนั้นที่จริงก็คงมีกะเทยทำได้ แต่หมายถึงช่างหน้า ช่างผม สไตลิสต์ น้อยมากที่จะเห็นผู้หญิงข้ามเพศไปเป็นช่างภาพ นางแบบก็เพิ่งเริ่มเห็นไม่นาน เป็นผู้จัดละครก็น้อยผู้จัดการดาราอาจจะพอมีบ้าง เราก็ต้องไฟต์เพราะอย่างตอนที่เป็นผู้จัด ต้องเข้าไปคุยงานกับผู้บริหาร ส่วนมากเขาก็จะเป็นผู้ชายกัน แล้วผู้ชายส่วนมากโดยค่าตั้งต้นก็มักจะยอมรับความคิดเห็นของผู้หญิงข้ามเพศได้น้อย เราก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเรามีความสามารถนะ ทำเงินให้เขาได้ แต่กว่าจะได้ข้อพิสูจน์ตรงนั้นมามันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องไม่ใช่คุยเก่ง ฉอเลาะอย่างเดียว ไอเดียก็ต้องว้าว การจัดการก็ต้องดี ส่วนพรสวรรค์หรือข้อได้เปรียบของคนที่เป็น LGBTQ+ ก็คือมักจะมีความคิดสร้างสรรค์ที่ประหลาดกว่าคนอื่นๆ นิดหนึ่ง เหมือนเป็นเพศสภาพที่เป็นสาวช่างฝันขี้เพ้อ (หัวเราะ) แต่ในความช่างฝันก็คือเราสามารถทำให้เป็นจริงได้ ดังนั้นเราก็จะไม่เพ้อเจ้อ

V: ทำไมถึงตัดสินใจเพิ่มบทบาทจากการเป็นผู้จัดการดารามาเป็นผู้จัดละครด้วย

K: เรารู้สึกว่าสิ่งหนึ่งที่เป็นปมในการทำอาชีพผู้จัดการดารามายาวนานคือถูกตราหน้าว่าเรื่องมาก คนไม่ค่อยยอมรับฟังความคิดเห็นของเรา สังเกตสิผู้จัดการดาราอยากได้อะไรพูดอะไรคนจะมองว่าเรื่องมากทันที ทั้งที่นั่นเป็นหน้าที่ของเรา ถ้าผู้จัดการไม่ไฟต์ ไม่ทำอะไรเลย แปลว่าเราไม่ได้ทำงาน ก็เลยคิดว่าถ้าเราอยู่ในสถานะหรืออาชีพอื่น คนก็จะฟังเรามากขึ้น เช่น เวลามีอีเวนต์แล้วเรารีเควสต์ห้องแต่งหน้าแยก คนก็บอกว่าเรื่องมาก ทำไมแต่งห้องรวมไม่ได้ แต่เขาไม่ได้คิดว่าที่ดิฉันทำทั้งหมด ก็เพื่อตัวนักแสดงและความสำเร็จของงานทั้งนั้น ถ้าแต่งหน้าห้องรวม เดี๋ยวๆ ก็มีคนมาขอถ่ายรูป มาทัก ถามว่าเมื่อไรจะแต่งหน้าเสร็จ แล้วสมาธิในการโฟกัสกับงานของน้องจะมาจากไหน แล้วเขาจะเอาความสุขที่ไหนไปส่งต่อให้คนดูบนเวทีล่ะ หรือมีละครติดต่อน้องเราเข้ามาเรื่องหนึ่ง เราก็บอกว่า อุ๊ย อยากทราบจังเลยว่าพระเอกเป็นใครคะ (เสียงหวาน) เราอาจจะอยากได้ข้อมูลเรื่องคาสติ้ง แต่คนก็จะมองว่าเรื่องมากแล้วหนึ่ง แต่ถ้าเราเป็นผู้จัดเองเลย เราเสนอเองเลย มันจัดการได้มากกว่า คล้ายๆ เลื่อนตำแหน่งจากผู้จัดการสาขาไปเป็นผู้จัดการภูมิภาค (หัวเราะ) แล้วก็เพิ่มความน่าเชื่อถือในวงการนี้ให้เราด้วย 

 

V: ข้อได้เปรียบเสียเปรียบของการที่เราเป็นผู้จัดการดาราที่เป็นผู้หญิงข้ามเพศมีไหม

K: (คิด) ไม่น่าจะมีนะ แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะอาชีพนี้มีผู้หญิงน้อยมาก ผู้ชายก็ไม่เยอะ เลยเทียบยากแต่ผู้หญิงที่จะอยู่ได้คงต้องสตรองมากคือเธอต้องเป็นวันเดอร์วูแมนอะ (หัวเราะ) เพราะหลังจากเราเข้ามาทำเองแล้วเรารู้ว่ามันยาก แต่โชคดีที่เรามีประสบการณ์มาหลายอย่าง ก่อนที่จะมาดูแลน้องใหม่ เราทำออร์แกไนเซอร์มาก่อน เคยจัดแฟชั่นโชว์ เคยทำโมเดลลิ่ง เคยทำสไตลิสต์ ตอนทำออร์แกไนเซอร์สนุกมาก เพราะมีแค่เรากับเพื่อน 2 คน เราจึงทำทุกตำแหน่งด้วยตัวเอง เราจึงรู้วิธีการทำงานตั้งแต่ครีเอทีฟไปจนถึงเออี ประสบการณ์ทุกอย่างจึงสามารถเอามาเกื้อหนุนเป็นประโยชน์ให้กับอาชีพผู้จัดการได้เป็นอย่างดี ส่วนเรื่องเพศเท่าที่นึกออกไม่น่าจะมีความได้เปรียบเสียเปรียบกันเท่าไรที่ต่างน่าจะเป็นสกิลของแต่ละคนมากกว่า คนหนึ่งอาจจะเก่งเรื่องพีอาร์เรื่องความสัมพันธ์กับนักข่าว บางคนเก่งเรื่องแฟชั่น ที่สำคัญคือนักแสดงในสังกัดคุณทำงานได้ดีหรือเปล่า



WATCH




V: แล้วความโดดเด่นของเกล้า น้ำพราวคืออะไร

K: อันนี้เราว่าต้องให้คนอื่นบอก เพราะมานั่งพูดเองมันก็จะดูยกยอไหมแต่ถ้าเรื่องประทับใจก็จะมีครั้งที่น้องใหม่ไปงานรับรางวัลงานหนึ่ง เราให้น้องใส่ชุดของ Elie Saab สีดำ ใส่วิกผมสั้นแต่งหน้าน้อย และไม่โป๊ นั่นคือเราวางโพสิชั่นให้น้องไว้แบบนั้น เพราะเมื่อก่อนดาราถ้าอยากได้ซีนต้องแก้ผ้า บนพรมแดงจะต้องแข่งกันแบบโอ้โห! สู้ตายเราอยากให้น้องดูสบายๆ เรียบโก้นำเสนอสิ่งใหม่ๆ แอบกลัวเหมือนกันว่าจืดไหม จะมีใครถ่ายรูปน้องไหมนะ วันรุ่งขึ้นมีงานแฟชั่นวีก เจอพี่ที่เป็นโครีโอกราเฟอร์เข้ามาบอกว่า “เกล้า ขอบคุณมากที่กรูมน้องให้ออกมาเป็นแบบนี้ เธอได้ยกระดับพรมแดงเมืองไทยแล้ว” ฟังแล้วเรามีความสุขมากๆ เพราะคนส่วนมากจะชมว่าน้องสวย แต่มีน้อยคนมากที่จะมองเห็นความคิดและการทำงานเบื้องหลังของเรา

 

V: ความสำคัญของผู้จัดการนักแสดง สำหรับตัวนักแสดงเองในความคิดเห็นส่วนตัวของเกล้าเป็นอย่างไรบ้าง 

K: สำหรับนักแสดง เขาต้องมีคอนซัลต์นะ คนเราไม่สามารถมองตัวเองได้ 360 องศา มันต้องมีคนอื่นช่วยมอง เหมือนนักกีฬาต้องมีโค้ชนักดนตรีต้องมีคอนดักเตอร์ ที่ทำงานด้วยกัน ถ้าเป็นทีมฟุตบอล โค้ชหรือผู้จัดการทีมก็ต้องรู้ว่าจะวางใครไว้โพสิชั่นไหน เธอวิ่งเร็วไปเป็นปีก คนนี้ยิงแม่นไปกองหน้า ผู้จัดการดาราก็ต้องรู้ข้อเด่นข้อด้อยของนักแสดง รู้ว่าควรวางเขาไว้ในโพสิชั่นไหน ขายเขาให้ถูกว่าจะขายมุมไหน ถ้านักแสดงคนหนึ่งประสบความสำเร็จเรามองว่าต้องให้เครดิตทีมงานเบื้องหลังด้วยนะ อย่างน้องใหม่ตอนเขาเด็กๆ เราจะเป็นผู้นำเขา แต่เมื่อเราผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาจนถึงวันที่น้องอายุ 28 เขาก็จะแสดงความคิดเห็นมากขึ้น เพราะเราไม่ได้เลี้ยงเขามาโดยมองว่าเป็นสินค้าที่ไม่ให้คิดอะไรเลย เพราะไม่มีใครโดนบังคับไปได้ตลอดหรอกค่ะ เราก็ต้องการให้เขามีความรู้ที่เราแชร์กันได้ เอาเหตุผลมาคุยกัน แล้วเราจะไม่มีวันทะเลาะกันเรื่องงาน 

 

V: การจัดการข่าว สื่อ รวมถึงการจัดการแฟนคลับของดาราในยุคนี้มีความท้าทายผู้จัดการอย่างไรบ้าง

K: เมืองไทยยังไม่มีอาชีพ Publicist อย่างเมืองนอกเขาจะมีอาชีพนี้หรือเอเยนต์ที่คอยดูแลเรื่องสื่อ เรื่องข่าวต่างๆ แต่ถ้าในไทย ถ้าเซ็นสัญญากับช่องก็จะมีทางช่องคอยดูแลให้ สำหรับคนที่ไม่มีสังกัดอย่างน้องใหม่ ส่วนมากผู้จัดการดาราก็เลยมักจะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับนักข่าว เผื่อว่าจะต้องประสานงานกัน แต่ว่าก่อนยุคโซเชียลมีเดียก็จะง่ายหน่อย ใครจะทำอะไรจับมือใครดมไม่ได้หรอก แล้วข่าวต่างๆ ก็ไม่ค่อยแพร่สะพัดออกไปโดยไม่มีมูลความจริง สมัยก่อนมีอะไรก็ตามต้องถามจากปาก หรือต้องมีตัวคนจริงๆ มีรูปยืนยันว่าคนนี้พูดแบบนี้ออกสื่อนี้ กอสสิปน้อยมาก แต่สมัยนี้ใครจะพิมพ์ใครจะเขียนอะไรก็ได้ โดยที่ไม่ต้องมีตัวตนจริงด้วยนะ สมัยก่อนเกล้าจะคิดว่าการเฉยเมยใส่หรือการประนีประนอมเป็นเรื่องที่โอเค แต่สมัยนี้ไม่ใช่ ถ้ามีดราม่าต้องฟาดหมด ก็ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ ก็เราเป็นผู้จัดการเขานะ (หัวเราะ)

 

V: มีเรื่องอะไรบ้างที่คนอาจจะคิดไม่ถึงว่าผู้จัดการนักแสดงต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยเหรอ 

K: น่าจะขึ้นอยู่กับความสนิทสนมและความยินยอมระหว่างดารากับผู้จัดการท่านนั้นด้วย แต่อย่างน้องใหม่กับเรามันเป็นครอบครัวไปแล้ว ตอนที่น้องใหม่จะคบกับเต๋อ คนก็มาถามว่าทำไมเราถึงยอม เพราะก่อนหน้านี้มีผู้ชายมาจีบน้องตั้งหลายคน แต่ไม่มีใครยอมทำตามสิ่งที่เราขอว่า ถ้าจะเริ่มคุยต้องกล้าพอที่จะบอกสื่อว่าผมอยากจีบน้องใหม่ แต่ว่าเต๋อทำ แล้วเราทำแบบนี้เพื่อเป็นการปกป้องน้องเราเพราะน้องเป็นผู้หญิง ถ้าผู้ชายไม่ออกตัวก่อนแล้ววันหนึ่งมีรูปหลุดไปไหนด้วยกัน ต่อให้มีเราไปด้วยก็เถอะ แล้วนักข่าวไปถาม ถ้าผู้ชายให้สัมภาษณ์ว่าไม่ได้จีบ น้องเราจะเงิบไหม ดังนั้นถ้าใครจะมาจีบน้องเราคุณต้องเป็นสุภาพบุรุษ ให้เกียรติผู้หญิง แล้วน้องเราก็ให้สิทธิ์เราเต็มที่ในการปกป้องเขา แต่หลังจากนั้นก็คือปล่อยเลย ฉันทำหน้าที่ของฉันแล้วนะ หลังจากนี้ก็เป็นเธอที่จะต้องดูเองให้เป็นแล้ว เพราะชีวิตเขา เขาก็ต้องได้ใช้ผู้จัดการคงคอยดูแลปกป้องเขาตลอดชีวิตไม่ได้หรอกค่ะ

 

ภาพ: สุดเขต จิ้วพานิช

เรื่อง: วรรณวนัช สิริ

WATCH