FASHION

ย้อนรอยชีวิต Glenn Close สุดยอดนักแสดงหญิงที่เข้าชิงออสการ์ถึง 8 ครั้ง แต่ไม่เคยได้รางวัล!

Glenn Close กับความผิดหวังครั้งที่ 8 หลังจากเข้าชิงมาตลอด 40 ปี จึงต้องย้อนดูเรื่องราวชีวิตสุดงดงามของเธอ

เนื้อหาสำคัญ

  • Glenn Close กับช่วงชีวิตวัยเด็กจากครอบครัวชนชั้นสูง
  • ความฝัน ความมุ่งมั่น และพรสวรรค์พาเธอออกจากกรอบและก้าวในทิศทางตามใจต้องการ
  • เส้นทางชีวิตการแสดงและไทม์ไลน์ของผลงานอันโดดเด่น
  • ไล่เรียงที่มาการพลาดรางวัลออสการ์ถึง 8 ครั้ง!
  • แง่มุมความคิดต่าง ๆ ของนักแสดงหญิงระดับตำนานที่มีต่อศิลปะการแสดงและรางวัลอันทรงเกียรติ

___________________________________________________________________________

 

     มีใครจะอกหักไปมากกว่านี้อีกไหม? คำถามแทงใจสำหรับเรื่องความรักไม่ว่าจะวัยไหน แต่คำว่า “อกหัก” นำมาอธิบายเรื่องความคาดหวังได้เช่นกัน รางวัลออสการ์ผู้ได้รับรางวัลคือเกียรติยศสูงสุดในเส้นทางภาพยนตร์ แต่ในทางกลับกันผู้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงก็อาจจะมีความผิดหวังไม่มากก็น้อย ถึงแม้ว่าใบหน้าอันยิ้มแย้มของเหล่าผู้เข้าชิงรางวัลจะปรากฏเมื่ออยู่ในงานและแสดงความยินดีต่อผู้ได้รับรางวัลเสมอ ในอีกแง่มุมหนึ่งมันคือความเสียใจที่เหมือนกับการไปไม่ถึงดวงดาวเสียที บางคนรอครั้งแล้วครั้งเล่า ปีแล้วปีเล่า จนบางทีการรอคอยเหล่านี้ส่งความรู้สึกต่อไปถึงแฟนคลับจนทำให้รู้สึกสะเทือนใจกับความผิดหวังที่คนกลุ่มนี้ได้รับ วันนี้เราจะพาย้อนรอยดูเส้นทางความผิดหวังอันยาวนานของนักแสดงหญิงคนหนึ่งที่รอรางวัลนี้มากว่าค่อนชีวิต พร้อมเปิดประวัติบุคลากรที่จะกลายเป็นตำนานในเวลาอันใกล้นี้

บทบาทคุณยายของ Glenn Close จากเรื่อง Hillbilly Elegy ที่ส่งเธอเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในปี 2021 / ภาพ: Netflix

     Glenn Close คือบุคคลที่เรากำลังพูดถึง ในปีนี้นักแสดงวัย 74 ปีสร้างชื่ออีกครั้งด้วยบทสมทบในภาพยนตร์เรื่อง ‘Hillbilly Elegy’ บทบาทคุณยายที่ลงทุนแปลงโฉมาสลัดบทบาทความตึงเครียดจากการรับบทภรรยาวัยชราในภาพยนตร์เรื่อง ‘The Wife’ ที่พาเธอเข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 7 ด้วยการพลิกคาแรกเตอร์ครั้งนี้ทำให้นักแสดงเจ้าบทบาทได้กลับเข้ามาอยู่ในลิสต์ผู้เข้าชิงรางวัลนักแสดสมทบหญิงยอดเยี่ยมอีกครั้ง(ครั้งที่ 4 ในสาขานี้และครั้งที่ 8 รวมทุกสาขา) เพื่อลุ้นครอบครองตุ๊กตาตัวแรกให้สำเร็จเสียที

Glenn Close ช่วงวัยเด็ก / ภาพ: eileentil

     ถ้าย้อนกลับไปวันที่ 19 มีนาคม 1947 เป็นเวลาประมาณ 2 ปีหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 คือเวลาที่หน้าแรกของบทละครชีวิตจริงของผู้หญิงที่ชื่อว่าเกลนน์ถือกำเนิดขึ้นโดยมีพี่น้องอีก 2 คนคือ Tina และ Jessie (ภายหลังพ่อแม่รับลูกชายบุญธรรมอีก 2 คนคือ Alexander และ Tambu) เด็กน้อยในวันที่โลกเพิ่งสงบจากความวุ่นวายมา 5-6 ปี แต่เหมือนเด็กน้อยคนนี้เกิดมาพร้อมโอกาสและพรสวรรค์ เพราะไม่ว่ากิจกรรมทางการแสดงใดตอนเด็ก ๆ สาวน้อยคนนี้สามารถสวมบทบาทได้แทบทุกคาแรกเตอร์ นี่เป็นเหตุผลให้เกลนน์ซึบซับทุกแง่มุมของทุกๆ ตัวละครสั่งสมเป็นประสบการณ์ชั้นเลิศมาตั้งแต่วัยกระเตาะ เป็นพรแสวงที่สอดแทรกอยู่กับพรสวรรค์อย่างสมบูรณ์แบบ



WATCH




การรวมตัวกันทำกิจกรรมของกลุ่ม RMA / ภาพ: The Northern Tradition

     แต่แน่นอนว่าเส้นทางนักแสดงวัยเยาว์ต้องมีบางอย่างปิดกั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เพิ่งผ่านพ้นปัญหาใหญ่มา เกลนน์วัย 7 ขวบและครอบครัวเข้ากลุ่ม Moral Re-Armament (MRA) หรือกลุ่มที่คอยขัดเกลาศีลธรรมให้อยู่ภายใต้กรอบความเชื่อนั้นๆ นั่นทำให้ความฝันการเป็นนักแสดงเริ่มขุ่นมัว เพราะการเข้าร่วมกลุ่มการปฏิบัตินี้จะต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบตั้งแต่เสื้อผ้าไปจนถึงการพูด ต้องทำความเข้าใจก่อนว่ายุคสมัยนั้นความคิดแบบเสรีนิยมไม่ใช่หัวใจหลักและเด็กไม่สามารถเลือกที่จะเชื่อแบบนั้นได้เท่าใดนัก ถึงแม้ครอบครัวของเกลนน์จะร่ำรวยมีฐานะแต่กลับอยู่ในลัทธิความเชื่อแบบเก่า ซึ่งมักถูกมองดั่งคำว่า “ผู้ดีตีนแดง” หากเปรียบเป็นภาษาไทย นั่นทำให้สาวน้อยมักจะหลีกเลี่ยงการบอกบ้านเกิดให้ผู้อื่นได้รับรู้ (ในขณะนั้น) เพราะไม่อยากถูกมองว่าทำอะไรไม่เป็น เป็นลูกคนรวยทำตัวสบายไปวัน ๆ

ครอบครัว Close / ภาพ: Body Height Weight

     หลังจากอยู่ในกรอบมาเป็นเวลาสักพักความชื่นชอบของเกลนน์ต้องการจะแหวกออกนอกกรอบเต็มที่ แต่เธอยังต้องเดินไปกับพ่อแม่ไปเปิดคลีนิกที่เบลเจียนคองโก (สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกในปัจจุบัน) ตามแนวทางของกลุ่มเอมอาร์เอ เธอใช้เวลาเหล่านี้ค่อย ๆ ปีนออกจากอ้อมอกพ่อแม่ ในวัย 13 ปีสาวน้อยเริ่มใช้ชีวิตเป็นของตัวเองมากขึ้น ออกเดินทางไปเรียนที่สวิตเซอร์แลนด์และกลับมาเรียนต่อที่บ้านเกิดในคอนเนกติกัตจนจบช่วงปี 1965 ช่วงเวลาหลังจากนั้นสาวน้อยก็เริ่มใช้ชีวิตของตัวเองเต็มตัวครั้งแรกด้วยการออกทัวร์กับวงดนตรีกลุ่มชนชั้นสูงทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นเวลากว่า 4 ปี จนกระทั่งปี 1970 เธอได้แยกตัวออกจากวงดนตรีและลงเรียนเกี่ยวกับมานุษยวิทยาและศิลปะการแสดง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอชอบมาตลอดชีวิตที่ The College of William & Mary ระหว่างการเรียน 4 ปีเธอมีความสุขมากกับการเจอสิ่งใหม่ๆ ในเส้นทางที่ตัวเองใฝ่ฝัน เธอพยายามเรียนรู้ ฝึกฝน สังเกตแทบทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อพัฒนาตัวเอง และนี่คือจุดเริ่มต้นสู่สายการแสดงอย่างเป็นรูปธรรม

Glenn Close ในยุค 70s / ภาพ: platinumpan

     หลังจากเรียนจบเหมือนพรสวรรค์มันสว่างจ้าจนเธอได้รับโอกาสแสดงละครบรอดเวย์ทันทีในปี 1974 เรื่อง ‘Love for Love’ นั่นทำให้เกลนน์ติดใจและเอาทักษะการแสดงจากละครเวทีมาใช้ในภาพยนตร์ได้จนถึงทุกวันนี้ แต่ใครจะเชื่อว่าสุดยอดนักแสดงคนนี้เคยกล่าวไว้ว่า ว่า “ฉันคิดถึงแต่การแสดงบนเวที ฉันไม่เคยนึกถึงเรื่องภาพยนตร์เลย” สะท้อนความคิดรักการแสดงสดและตัวตนของนักแสดงคนนี้ผ่านผลงานทุกชิ้นได้เป็นอย่างดี ความสุดยอดจากทักษะการแสดงเหล่านั้นกำลังจะพาเธอก้าวสู่บทชีวิตบทใหม่ ความนิยมที่เปลี่ยนแปลงไปของอุตสาหกรรมบันเทิงที่เปลี่ยนจากการแสดงบนเวทีสู่วงการจอเงิน...นั่นทำให้เกลนน์ถูกแมวมองจับตาและเริ่มต้องเตรียมปรับตัวสู่หนังสือหน้าใหม่ในชีวิต

Glenn Close ในบท Jenny Fields จากภาพยนตร์เรื่อง The World According to Garp (1982) / ภาพ: IMDb

     เรื่องแรกก็ปังเลย! ผู้กำกับ George Roy Hill พบเธอที่บรอดเวย์และต้องการให้ไปออดิชั่นกับ Robin Williams นักแสดงระดับตำนานเพื่อบทบาทในภาพยนตร์เรื่อง ‘The World According to Garp’ ปี 1982 ในบท Jenny Fields และกลายเป็นบทแจ้งเกิดส่งให้เกลนน์เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมตั้งแต่เรื่องแรกที่เริ่มแสดง! พร้อมพบรักกับโปรดิวเซอร์ John Starke รักจริงจังแรกที่ถึงขั้นมีลูกสาวด้วยกันในภายหลัง หลังจากนั้นเกลนน์ฉายแววขึ้นเรื่อย ๆ จากเรื่อง The Big Chill ที่บท Sarah Cooper ถูกเขียนไว้ให้เธอโดยเฉพาะ ส่งเธอให้เป็นนักแสดงคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลใหญ่ทั้งโทนี เอมมี และออสการ์ในปีปฏิทินเดียวกันด้วยบทบาทเดียวกัน และที่สำคัญเรื่องต่อมา The Natural เธอก็เข้าชิงสาขาเดิมอีกครั้งในปีถัดมา นับว่าเป็นการแสดงภาพยนตร์ 3 เรื่องแรกเข้าชิง 3 รางวัลออสการ์เลยทีเดียว แต่ความเศร้าเริ่มเกิดขึ้นเพราะทุกครั้งนักแสดงมากความสามารถคนนี้จั่วลมทั้งหมด

การส่งสายตาเพื่อบอกกับผู้ชมว่าบทบาทนี้ช่างสมจริงจากเรื่อง Fatal Attraction / ภาพ: Ruth Bright Carroll - Pinterest

     ความผิดหวังไม่ได้ทำให้เธอล้มเลิกความตั้งใจ ไม่กี่ปีต่อมาเธอก็เข้าชิงอีก 2 ครั้งในปี 1987 และ 1988 จากเรื่อง Fatal Attraction และ Dangerous Liaisons ตามลำดับ ครั้งนี้ขยับขึ้นแท่นมาชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงบ้าง แต่เหมือนรางวัลออสการ์จะต้องสาปกับเธอเพราะจาก 3 ครั้งที่ผ่านมารวมกับอีก 2 เรื่องเกลนน์ โคลสยังไม่สามารถครอบครองตุ๊กตาทองกลับบ้านไปได้แม้แต่ตัวเดียว! ถือเป็นความผิดหวังแห่งประวัติศาสตร์ถึง 5 ครั้งติดกัน แต่ยังดีที่มีรางวัลจากเวทีอื่นมาปลอบใจเกลนน์บ้างประปราย

Glenn Close กับบทป้า Cruella de Vil สุดโหดจากภาพยนตร์เรื่อง Dalmatians 101 / ภาพ: hqparadise

     หลังจากเล่นหนังชิงรางวัลมาสักพักก็มาถึงจุดดรอปของอาชีพ ภาพยนตร์ส่วนใหญ่เป็นภาพยนตร์อิสระและพลิกคาแรกเตอร์มาเล่นหลายบทบาทมากขึ้น คนไทยอาจจะจำเธอได้จากคุณป้าสุดโหดจากภาพยนตร์เรื่อง Dalmatians 101 และ 102 ส่วนเหตุผลของการรับงานต่าง ๆ ในช่วงนั้นคือการที่เธออยากทำงานแบบนักแสดงที่เห็นคุณค่าของบทบาท สิ่งมหัศจรรย์ที่จะถ่ายทอดสู่ผู้ชมมากว่าเม็ดเงินที่ผู้สร้างต้องจ่ายให้เธอ นี่คือชุดความคิดที่สะท้อนให้เห็นว่าความผูกพันกับการแสดงตั้งแต่วัยเด็กทำให้นักแสดงวัยดึกรักศิลปะแขนงนี้เพียงใด

Glenn Close เข้าร่วมงานออสการ์ปี 2012 ลุ้นรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมที่ Meryl Streep ปาดไปด้วยบทบาท Magaret Thatcher / ภาพ: Tatianna Hunter และ Emma Jaane - Pinterest

     ดาราเจ้าบทบาทกลับคืนสู่วงการภาพยนตร์อย่างจริงจังอีกครั้งในปี 2011 หลังจากที่แวะเวียนเล่นซีรีส์โทรทัศน์และเธอก็ทำได้ดีเฉกเช่นทุกครั้ง และการกลับมาครั้งนี้ราวกับการเริ่มต้นชีวิตนักแสดงอีกครั้งในปี 1982 เพราะบทบาทนางเอกของเรื่อง Albert Nobbs ส่งเกลนน์โคลสเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงบนเวทีออสการ์อีกครั้งในวัย 63 ปี บทบาทผู้หญิงที่ใช้ชีวิตดั่งผู้ชายโดยมีความหลังถูกคุกคามทางเพศในประเทศไอร์แลนด์ช่วงศตวรรษที่ 19 ถูกเกลนน์ตีแตกกระจายและส่งต่อเรื่องราวของเพศทางเลือกทะลุจอเงินออกมาเป็นที่ถกเถียงพูดคุยกันในวงการฮอลลีวู้ดและสังคมโลกขณะนั้น แต่สุดท้ายมิวายโดน Meryl Streep กับบทบาท Magaret Thatcher จากเรื่อง ‘The Iron Lady’ ปาดหน้าเค้กรางวัลออสการ์ปี 2012 ไปครองอย่างน่าเสียดาย นับเป็นครั้งที่ 6 ที่เกลนน์ โคลสผิดหวังจากรางวัลอันทรงเกียรตินี้ สถิติที่ไม่มีใครอยากทำลายยังคงนับต่อไป...

Glenn Close คว้ารางวัลลูกโลกทองคำปี 2019 จุดประกายความหวังให้กับการลุ้นออสการ์ของเธอในปีนั้น / ภาพ: Paul Drinkwater

     หลังจากงานประกาศรางวัลออสการ์ปี 2011 เกลนน์ก็แวะเวียนอยู่บนจอเงินทั้งสเกลน้อยใหญ่ตั้งแต่ทีวีซีรีส์ เน็ตฟลิกซ์ หรือภาพยนตร์ฟอร์มปานกลาง จนกระทั่งปี 2018 สาวใหญ่ผู้นี้กลับเข้าสู่วงจรภาพยนตร์ชิงรางวัลอีกครั้งจากภาพยนตร์เรื่อง The Wife ด้วยการรับบท Joan Castleman ภรรยาของผู้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ทำให้เรื่องราวต้องพาเธอ (ในเรื่อง) ย้อนความหลัง เบื้องลึกของผลงานรวมถึงเหตุการณ์อันบีบคั้นกับสถานการณ์ความภูมิใจของครอบครัว ลักษณะคาแรกเตอร์ของตัวละครที่ต้องมีเอี่ยวกับชนชั้นสูงประกอบกับช่วงอายุ รวมถึงวิธีการส่งผ่านความรู้สึกในแบบฉบับที่มีความเป็นเกลนน์เสียเหลือเกิน เหมือนบทนี้สร้างมาเพื่อเธออีกครั้ง และครั้งนี้จะพิเศษกว่าทุกครั้งเธอกวาดรางวัลแทบจะทุกเวทีทั้งลูกโลกทองคำ แซกอวอร์ดส์และอีกหลายต่อหลายเวที นั่นทำให้ทุกคนเริ่มคาดหวังและส่งใจช่วยนักแสดงสาววัย 71 ให้คว้าออสการ์ตัวแรกในชีวิตได้สำเร็จ!

Leonardo DiCaprio ขึ้นรับรางวัลออสการ์จากเรื่อง The Revenant เขาสมหวังหลังจากอกหักมา 5 ครั้งติด / ภาพ: Mario Anzuoni

     การเตรียมพร้อมอยู่ในระดับประมาณ 95% รายชื่อผู้เข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมทั้ง 5 คนมีชื่อของเกลนน์ โคลสติดอยู่ด้วยแบบไร้ข้อกังขา นั่นยิ่งทำให้แฟน ๆ และคนรอบข้างเกลนน์เริ่มมั่นใจกับความเป็นไปได้ที่จะคว้ารางวัล แต่ในใจลึก ๆ ก็อาจจะกลัวว่าจะพลาดอีกครั้ง Leonardo DiCaprio เคยผิดหวังจากการเข้าชิง 5 ครั้งและสมหวังในครั้งที่ 6 กับภาพยนตร์เรื่อง The Revenant ถึงเวลาของนักแสดงหญิงสุดเก๋าบ้างแล้วที่จะเลิกอกหักกับรางวัลนี้เสียที ภาพลีโอนาร์โดขึ้นรับรางวัลถือเป็นกำลังใจให้กับผู้รับบทโจนจากเรื่องเดอะไวฟ์อย่างมาก “ผิดหวังมาหลายครั้งย่อมต้องมีวันที่สมหวัง” ก่อนถึงวันงานแทบจะทุกสำนักปากกาเซียน รวมถึงเว็บไซต์พนันออนไลน์ยกให้เกลนน์ โคลสคือตัวเต็งในการคว้าตุ๊กตาทองในครั้งนี้ 

Glenn Close ในชุดที่เต็มไปด้วยรายละเอียดสีทองสง่าเหมาะกับรางวัลออสการ์ที่มีน้ำหนักกว่า 40 ปอนด์ / ภาพ: Richard Shotwell

     พร้อมเฉิดฉาย! หน้าประวัติศาสตร์กำลังจะเกิดขึ้น ในวันงานปี 2018 เกลนน์ โคลสมาในชุดจาก Carolina Herrera จากฝีมือช่างกว่า 40 ชีวิตพร้อมเทคนิคการปักดีเทลกว่า 3 ล้านชิ้นและมีน้ำหนักกว่า 40 ปอนด์ (อ่านเรื่องชุดได้ ที่นี่) ชุดสีทองเปล่งปลั่งและเครื่องประดับช่วยให้ตัวเต็งคนนี้ส่องประกายอย่างโดดเด่น เธอเดินพรมแดงพร้อมมีช่างภาพเก็บภาพจารึกแฟชั่นสำหรับผู้ (กำลังจะ) ชนะออสการ์ เธอเดินไปให้สัมภาษณ์ด้วยท่าทางยิ้มแย้มและมีความสุขกับวันพิเศษนี้ เกลนน์เข้าร่วมงานฟังการประกาศรางวัลแล้วรางวัลเล่า จนมาถึงการภาพการแนะนำผู้เข้าชิงสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมไล่ตั้งแต่ Lady Gaga, Olivia Colman, Melissa McCarthy และ Yalitza Aparicio นี่คือความทรงจำอีกครั้งที่จะวาดหน้าประวัติศาสตร์ของนักแสดงหญิงระดับไอคอนว่าตลอดหลายสิบปีที่ฝากผลงานไว้กับวงการนี้เธอสมควรได้มันแล้ว...

Olivia Colman ร่ำไห้หลังรับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมเมื่อปี 2019 / ภาพ: The Times

     แต่ออสการ์บอกว่ายัง! ความพลิกโผเกิดขึ้นเมื่อโอลิเวีย โคลแมนเป็นชื่อที่ถูกอ่านจากซองประกาศผล การเตรียมตัวมาทั้งหมดของเกลนน์ โคลสสูญสลายเป็นพร้อมหัวใจของแฟนคลับ เสียงปรบมือกึกก้องส่งโอลิเวียขึ้นไปรับรางวัลในฐานะนักแสดงหญิงยอดเยี่ยม ทำให้เกลนน์คือผู้แพ้รางวัลออสการ์ติดกัน 7 ครั้งรวด รวมระยะเวลาตั้งแต่เข้าชิงครั้งแรกจนถึงครั้งนี้เป็นเวลากว่า 37 ปีที่ผู้หญิงคนนี้รอคอยรางวัลตุ๊กตาจากเวทีออสการ์ นานกว่าอายุของคนวัยทำงานหลายคนเสียอีก เป็นอีกครั้งที่เธอพลาดและเพิ่มสถิติของ “ผู้แพ้” นำโด่งในแง่มุมความภูมิใจในการเข้าชิงแต่เสียใจที่พลาดทุกครั้ง ถ้าเปรียบออสการ์กับเกลนน์ โคลสเป็นความสัมพันธ์หนุ่มสาวคงเหมือนกับคนคุยสุดพิเศษ ในจังหวะที่จะพัฒนาต่อสู่ฐานะแฟนและภรรยาในอนาคต ทุกอย่างที่ทำมาอย่างสวยหรูดับมืดสนิท ความสวยหล่อ ความดีต่าง ๆ ที่ทำมาถูกจดจำในฐานะคนธรรมดาที่รู้จักหรือเคยรู้จักเท่านั้น ออสการ์เป็นผู้ปฏิเสธหญิงสาวผู้รักศิลปะการแสดงยิ่งชีพ...และเป็นอีกครั้งที่เราพลาดฟังการกล่าวสปีชของเกลนน์ โคลสบนเวทีสุดยิ่งใหญ่ที่ทุกคนรอคอย

Glenn Close กับถ้วยรางวัลลูกโลกทองคำ ภาพที่หลายคนอยากเห็นเธอทำกับตุ๊กตาทองแต่ยังไม่มีโอกาสได้เกิดขึ้น / ภาพ: @goldenglobes

     ความผิดหวังมาพร้อมด้วยความยินดีกับโอลิเวียกับบทบาทราชินีแอนซึ่งเธอเล่นได้อย่างสุดยอดเช่นเดียวกัน เพียงแค่คนเอาใจช่วยเกลนน์มากเท่านั้นเอง จากความเสียใจหากเราปรับมุมมองว่านี่คือความภูมิใจกับการเข้าชิงออสการ์ถึง 7 ครั้ง นิยามอมตะของเกลนน์โคลสเมื่อถูกถามถึงออสการ์คือ “ลองคิดถึงจำนวนนักแสดงและภาพยนตร์ในแต่ละปีสิมันช่างมากมายมหาศาล (โดยเฉพาะในปัจจุบัน) แล้วฉันติดลิสต์ 1 ใน 5 คน ถ้าคิดเช่นนี้แล้วการเข้าชิงแต่พลาดรางวัลมันจะเป็นความพ่ายแพ้ได้อย่างไร?” มุมมองในแง่บวกทำให้เธอและรักในการแสดงยังคงทำให้เธอมุ่งมั่นสร้างผลงานต่อไป จนมาถึงปี 2021 เธอมีโอกาสลุ้นสร้างช่วงเวลาพิเศษให้ตัวเองในงานประกาศผลรางวัลออสการ์อีกครั้ง...

ใบหน้ายิ้มแย้มสดใสของ Glenn Close เมื่อเดินพรมแดงงานประกาศรางวัลออสการ์ปี 2021 / ภาพ: Best of Glenn Close

     ปี 2021 งานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 93 และเกลนน์ โคลสในวัย 74 ปี เธอกลับมาพร้อมความหวังอีกครั้ง ปีนี้เธอมาในฐานะผู้เข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม เธอปรากฏกายบนพรมแดงด้วยลุคชุดเดรสผ้าทูนิกปักประดับคริสตัลจาก Armani Privé ครั้งนี้ชุดอาจจะไม่ได้อลังการงานสร้างเท่าครั้งก่อนที่ความสำเร็จจากเวทีอื่นและแรงเชียร์ส่งให้เธอขึ้นเป็นตัวเต็งอันดับ 1 สูสีมากับโอลิเวีย ปีนี้เธอมาด้วยความคาดหวังที่ไม่มากเท่าเดิม และด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เธอจึงพยายามสร้างพลังบวกในการมาร่วมงานครั้งนี้ให้ได้มากที่สุด เราได้เห็นเธอยิ้มแย้ม หัวเราะ เต้น ความคาดหวังชนิดเข้มข้นไม่เกิดขึ้นในปีนี้มากนัก เต็งจ๋ามาแรงปี 2021 ในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมคงต้องยกให้ Yuh-Jung Youn จากเรื่อง Minari แต่แน่นอนว่าเมื่อเข้าชิงรางวัลใครบ้างจะไม่หวัง อย่างน้อยก็หวังลึกๆ อยู่ในใจ เพราะการพลาดออสการ์ 8 ครั้งติดมันเป็นยิ่งกว่าปรากฏการณ์ในวงการภาพยนตร์ และแล้วเมื่อถึงเวลาประกาศรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมเธอก็พลาดอีกครั้ง นับเป็นครั้งที่ 8 ติดต่อกัน! ตลอดชีวิตการแสดงกว่า 40 ปีเธอฝากผลงานไว้มากมาย กวาดรางวัลจากเวทีใหญ่มาแทบทุกเวทีแต่เวทีต้องสาปก็ยังคงเป็นออสการ์ที่เดียวเท่านั้น

 

     จากเด็กรักการแสดงประกอบกับพรสวรรค์มุ่งหน้าเข้าหาเป้าหมายที่ฝันไว้ เธอไม่เคยเอนเอียงไปเส้นทางอื่น ผู้ถ่ายทอดคาแรกเตอร์คือจิตวิญญาณและชีวิตของผู้หญิงที่พลาดรางวัลออสการ์ 8 ครั้งระยะเวลารวม 40 ปีแต่เธอไม่เคยคิดว่านั่นคือความพ่ายแพ้ กลับกันเธอภูมิใจในการใช้ชีวิตของเธอตลอด 74 ปี ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าถ้วยรางวัลไม่ได้สะท้อนถึงคุณค่าชีวิตคนๆ หนึ่งเสมอไป ในเมื่อคนๆ นั้นทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกมาจากหัวใจและรักมันเต็มเปี่ยมดั่งเช่นความผูกพันระหว่างศิลปะการแสดงและผู้หญิงที่ชื่อ “เกลนน์ โคลส”

 

ที่มา : biography.com, Britannica, IMDb, wikipedia, thefamousepeople.com และ CNN

WATCH

คีย์เวิร์ด: Oscars Oscars2021