FASHION

ไขรหัสลับ ณ เมือง Grasse ประเทศฝรั่งเศส เบื้องหลังความสำเร็จของน้ำหอม CHANEL

ในทริปสุดพิเศษครั้งนี้ โว้กยังได้มีโอกาสสัมภาษณ์ Olivier Polge นักปรุงน้ำหอมคนสำคัญของเมซงชาเนล ถึงความลับเบื้องหลังความสำเร็จของน้ำหอมชาเนลอีกด้วย

     ‘Grasse’ คือชื่อของอีกหนึ่งเมืองสำคัญในทวีปยุโรป สถานที่ซึ่งกุมความลับของการถูกสถาปนาให้เป็นเจ้าแห่งน้ำหอมของประเทศฝรั่งเศส เมืองกราซซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศสนั้นได้รับการขนานนามว่าเป็น “แหล่งให้กำเนิดน้ำหอมชั้นเยี่ยม” แห่งหนึ่งของโลกใบนี้  โดยเริ่มต้นจากแบรนด์ CHANEL นี้เองที่ทำให้เมืองกราซกลายเป็นหนึ่งในฉากหลังของเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์น้ำหอมของโลกใบนี้มาอย่างยาวนาน ดังนั้นแล้วการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลของโว้ก ประเทศไทย และ ‘หมาก-ปริญ สุภารัตน์’ ในฐานะของ Friend of the House เพื่อไปเยี่ยมเยียนต้นกำเนิดของตำนานน้ำหอมแห่งเมซงชาเนลในครั้งนี้จึงนับว่าเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าอย่างมาก

     (สามารถตามไปชมภาพถ่ายของทริปสุดเอ็กซ์คลูซีฟในครั้งนี้ได้ที่ เปิดภาพ 'หมาก-ปริญ' จากทริปสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับ Chanel Beauty ที่เมือง Grasse ประเทศฝรั่งเศส)

Olivier Polge นักปรุงน้ำหอมคนสำคัญของ Chanel และ หมาก-ปริญ สุภารัตน์   

 

     ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1987 ชาเนลได้เซ็นสัญญาร่วมงานกับครอบครัว Mul ซึ่งเป็นครอบครัวเกษตรกรท้องถิ่นที่ทำการเพาะปลูกดอกไม้มานานกว่าห้าชั่วอายุคน เพื่อสนับสนุนการเกษตรที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การร่วมงานกันในครั้งนั้นช่วยให้ชาเนลมีปริมาณดอกไม้ที่มีคุณภาพสูงมากเพียงพอกับความต้องการผลิตน้ำหอมของแบรนด์ นอกจากนี้ยังช่วยอนุรักษ์การเพาะปลูกดอกไม้ในเมืองกราซให้มีความยั่งยืนสืบไป โดยเฉพาะทุ่งดอกไม้ของชาเนล ณ เมืองกราซ ประเทศฝรั่งเศส ที่ผลิตดอกไม้ห้าชนิดให้เก็บเกี่ยว ได้แก่ ดอกไอริส, จัสมิน, เมย์โรส, ทูเบอโรส และเจอราเนียม โดยดอกไม้ทั้งหมดจะสงวนไว้สำหรับใช้ผลิตน้ำหอมของแบรนด์ชาเนลเท่านั้น ซึ่งส่วนหนึ่งของไฮไลต์สำคัญของสถานที่แห่งนี้คือ ในแต่ละปีที่นี่จะเก็บเกี่ยวดอกเมย์โรสซึ่งเป็นกุหลาบหายากที่บานแค่ชั่วครู่ในเดือนพฤษภาคมเท่านั้น โดยใช้เวลาเพียงสามสัปดาห์เท่านั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่เกษตรกรจะได้เก็บดอกไม้ทีละดอกด้วยมือจนได้ปริมาณมากพอสำหรับทั้งปี อีกทั้งชาเนลยังเป็นแบรนด์เดียวที่มีโรงกลั่นอยู่ติดกับแปลงดอกไม้ ทำให้มั่นใจได้ว่าดอกไม้จะยังสดก่อนจะถูกนำมากลั่น

     กระนั้นประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูกซีฟในครั้งนี้ของโว้กประเทศไทยก็ยังมิได้จบลงแค่การเดินทางไปเยือนทุ่งดอกไม้แห่งนั้นและร่วมสัมผัสประสบการณ์ตรงของการปรุงน้ำหอมด้วยตัวเองเท่านั้น หากโว้กยังได้นั่งจับเข่าคุยถึงอัตลักษณ์ ความเป็นมา และจุดเด่นอันแข็งแกร่งของน้ำหอมของแบรนด์ชาเนลกับ Olivier Polge นักปรุงน้ำหอมคนสำคัญของเมซง ซึ่งโอลิวิเย่ร์ได้เปิดฉากคุยกับโว้ก ประเทศไทย ด้วยชีวิตช่วงวัยเด็กของเขาและความทรงจำที่มีต่อการปรุงน้ำหอม ซึ่งโอลิวิเย่ร์ได้ให้ข้อมูลเอาไว้ว่าเขานั้นคลุกคลีกับการปรุงน้ำหอมมาตั้งแต่ช่วงอายุ 20 ปี แต่ว่าก่อนหน้านั้นเขาไม่ได้รู้สึกยี่หระกับการปรุงน้ำหอมสักเท่าไหร่ เพราะเขาไม่ได้อยากทำอะไรที่เหมือนกับพ่อแม่ของเขา แต่เมื่อโตขึ้นและได้มีโอกาสเข้าร่วมฝึกงานที่เมซงของชาเนล นั่นเองที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเริ่มชอบที่จะอยู่กับการปรุงน้ำหอมมากขึ้นเรื่อยๆ และแม้ว่าหลายคนจะบอกว่า การเป็นนักปรุงน้ำหอมประจำแบรนด์นั้นต้องอาศัยพรสวรรค์จากพระเจ้าเป็นหลัก ทว่าโอลิวิเย่ร์ไม่ได้คิดอย่านั้นเสียทีเดียว เขากลับมองว่าพรสวรรค์ต้องมาคู่กับพรแสวงและการฝึกฝนทักษะอยู่เสมอมากกว่า



WATCH




จงกล พลาฤทธิ์ แฟชั่นไดเร็กเตอร์โว้ก ประเทศไทย, Olivier Polge และ หมาก-ปริญ สุภารัตน์ 

 

     โอลิวิเย่ร์ยังเล่าต่อไปอีกว่า สิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเขาเมื่อต้องปรุงน้ำหอมให้กับเมซงชาเนลสักกลิ่น นั่นคืออัตลักษณ์และตัวตนที่ชัดเจนแข็งแรงของแบรนด์ชาเนลตลอดกว่าศตวรรษที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นความเฟมินีนเต็มขั้น, ความโมเดิร์น และความหรูหรา ทั้งสามสิ่งนี้เองที่ประกอบสร้างและซ่อนอยู่ในความซับซ้อนน่าค้นหาของทุกกลิ่นน้ำหอมแบรนด์ชาเนลที่เขาเป็นคนปรุง และเมื่อโว้ก ประเทศไทยถามว่า ในบรรดาดอกไม้ทั้งหมดที่เขาเคยพบเห็นมา ดอกไม้ชนิดใดที่เหมาะที่สุดกับความเป็นสาวไทย ซึ่งโอลิวิเย่ร์ก็ตอบเอาไว้ได้อย่างน่าประทับใจว่าคือ ดอกมะลิ นั่นเอง

     ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟของทริปครั้งนี้ ซึ่งโว้กไม่พลาดเก็บบรยากาศของทริปสุดพิเศษครั้งนี้มาให้ชมกันแล้วที่นี่

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

A post shared by Vogue Thailand (@voguethailand)

WATCH

คีย์เวิร์ด: #VogueExclusive #DansLesChampsDeChanel