‘โยเกิร์ต’ ดีต่อสุขภาพอย่างไร ทำไมเราจึงควรรับประทานเป็นประจำ
โว้กบิวตี้ชวนไขข้อสงสัยว่าโยเกิร์ตมีดีอย่างไร ทำไมเมนูสุขภาพหลายๆ เมนูถึงมีโยเกิร์ตเป็นส่วนประกอบ
โยเกิร์ตคือหนึ่งในส่วนผสมที่พบได้บ่อยจากเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ เนื่องจากโยเกิร์ตมี ‘โพรไบโอติกส์ (Probiotics)’ ค่อนข้างสูง และดังที่โว้กบิวตี้ได้นำเสนอไปแล้วว่าโพรไบโอติกส์นั้นช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ง่ายขึ้น อีกทั้งเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง แต่นี่ก็ไม่ใช่ประโยชน์ทั้งหมดของโยเกิร์ตที่ทำให้เมนูสุขภาพหลายๆ เมนูมีโยเกิร์ตเป็นส่วนประกอบ อันที่จริงโยเกิร์ตนั้นมีคุณประโยชน์อีกหลายประการจนสามารถเรียกได้ว่านี่คือผลิตภัณฑ์ที่ ‘ควรค่าต่อการรับประทานเป็นประจำ’ เลยทีเดียว
1. ทางออกของผู้ที่มีภาวะแพ้แลคโตส
ความจริงที่เราได้ยินมาตั้งแต่เด็กคือนมเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีแคลเซียมสูง แต่นอกจากแคลเซียมแล้ว นมยังมีเอนไซม์ที่เรียกว่า ‘แลคโตส’ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้มีภาวะ ‘แพ้แลคโตส’ ไม่สามารถดื่มนมได้ จนเสียโอกาสในการได้รับแคลเซียมจากนม อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ได้ระบุว่า โยเกิร์ตที่เป็นผลิตภัณฑ์จากนมนั้นกลับไม่ก่อให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเสีย หรือปวดท้องในผู้ที่มีภาวะแพ้แลคโตส โดยสันนิษฐานว่าเป็นเพราะโยเกิร์ตมีแบคทีเรียและจุลินทรีย์มีชีวิตที่ทำหน้าที่ในการช่วยย่อย จึงช่วยให้ไม่เกิดอาการดังที่กล่าวไปข้างต้น อีกทั้งยังมีงานวิจัยสนับสนุนว่า เด็กที่มีภาวะแพ้แลคโตสนั้นมีอาการน้อยลงหลังรับประทานโยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์มีชีวิต (เมื่อเทียบกับเด็กที่ดื่มนม) นั่นหมายความว่าผู้ที่มีภาวะแพ้แลคโตสสามารถรับแคลเซียมจากโยเกิร์ตได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอาการแพ้แลคโตส
เกร็ดความรู้: โยเกิร์ตอุดมไปด้วยแคลเซียม และยังมีกรดแลคติกช่วยย่อยแคลเซียมให้มีโมเลกุลที่เล็กลง ส่งผลให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น จึงสามารถเป็นแหล่งแคลเซียมทดแทนนมได้
2. ป้องกันการติดเชื้อราในช่องคลอด
ปัญหาการติดเชื้อราในช่องคลอดสามารถพบได้บ่อยถึง 75% เลยทีเดียว (สังเกตได้ง่ายๆ จากอาการตกขาว) ดังนั้นคงสามารถพูดได้ว่าเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไปในหมู่สาวๆ และโยเกิร์ตก็เป็นหนึ่งในทางออกที่ปลอดภัยสำหรับปัญหานี้ เนื่องจากมีงานวิจัยสนับสนุนว่าจุลินทรีย์ที่มีชีวิตในโยเกิร์ตนั้นสามารถป้องกัน รวมถึงรักษาอาการช่องคลอดอักเสบจากเชื้อราและแบคทีเรียอย่างได้ผล ในขณะที่การรับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำช่วยลดโอกาสในการเพิ่มจำนวนของเชื้อราในช่องคลอด และยังช่วยลดโอกาสการติดเชื้อในช่องคลอดได้อย่างมีนัยยะสำคัญอีกด้วย
เกร็ดความรู้: อาวุธลับที่ทำให้โยเกิร์ตสามารถต่อสู้กับเชื้อราในช่องคลอดได้ก็คือ ‘แบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus)’ ซึ่งเป็นโพรไบโอติกส์ชนิดหนึ่ง ดังนั้นหากไม่สะดวกในการรับประทานโยเกิร์ต ก็สามารถใช้อาหารที่อุดมไปด้วยโพรไบโอติกส์และแลคโตบาซิลลัสเป็นตัวเลือกได้
3. ช่วยรับมือกับโรคกระเพาะอาหารจากแบคทีเรีย
แม้คนส่วนใหญ่จะมีความเข้าใจว่าโรคกระเพาะอาหารเกิดจากการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา แต่การศึกษาในปัจจุบันพบว่า อีกหนึ่งสาเหตุของโรคกระเพาะอาหารก็คือ ‘แบคทีเรียเอชไพโลไร (H. Pylori)’ ที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร แม้ผู้ป่วยจะได้รับยาแผนปัจจุบันเพื่อรักษาอาการแล้ว แต่การรับประทานโยเกิร์ตร่วมด้วยจะช่วยให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น เนื่องจากโพรไบโอติกส์จะทำหน้าที่ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียเอชไพโลไร ส่งผลให้สามารถกำจัดแบคทีเรียตัวร้ายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม
เกร็ดความรู้: ปัจจุบันยังไม่มีผลการวิจัยที่ระบุว่าการรับประทานโยเกิร์ตเพียงอย่างเดียวนั้นช่วยรักษาโรคกระเพาะจากสาเหตุนี้ได้ โยเกิร์ตเป็นเพียงตัวช่วยให้การรักษาจากยาแผนปัจจุบันมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นสำหรับสาวๆ ที่มีอาการของโรคกระเพาะควรปรึกษาแพทย์
4. จัดการกับระดับคอเลสเตอรอล
คอเลสเตอรอลหรือไขมันเลวเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบได้ทั่วไป และยังเป็นปัญหาที่ค่อนข้างรับมือได้ยาก เนื่องจากส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน (โดยเฉพาะการรับประทานของอร่อย) อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาและพบว่า เมื่อรับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำทุกวันติดต่อกันนาน 8 สัปดาห์ จะช่วยรักษาระดับไขมันเลวไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ปริมาณไขมันดีจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่งผลให้อัตราส่วนระหว่างไขมันเลวและไขมันดีเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น นอกจากนี้หากเป็นโยเกิร์ตที่มีโพรไบโอติกส์สูงกว่าโยเกิร์ตทั่วไป พบว่าหากผู้ป่วยภาวะไขมันในเลือดสูงรับประทานวันละ 300 กรัม ติดต่อกันนาน 6 เดือน จะทำให้ระดับคอเลสเตอรอลลดลง
จะเห็นได้ว่าโยเกิร์ตนั้นมีประโยชน์มากมายที่ช่วยส่งเสริมให้สุขภาพของสาวๆ แข็งแรงขึ้น แต่การจะได้รับประโยชน์ข้างต้นจำเป็นต้องรับประทานโยเกิร์ตอย่างถูกวิธี สาวๆ หลายคนอาจชื่นชอบการนำโยเกิร์ตไปแช่แข็งเพื่อให้รู้สึกสดชื่นขึ้นในขณะรับประทาน แต่การแช่แข็งโยเกิร์ตนั้นเป็นข้อผิดพลาดร้ายแรงที่จะทำให้โพรไบโอติกส์ที่อยู่ในโยเกิร์ตตายลง และเมื่อโพรไบโอติกส์ตายลง โยเกิร์ตก็จะสูญเสียประโยชน์ข้างต้นไป ดังนั้นเพื่อให้ได้ประโยชน์อย่างครบถ้วน โว้กบิวตี้ขอแนะนำให้สาวๆ วางโยเกิร์ตไว้ให้ไกลจากช่องแช่แข็ง และอย่าลืมตรวจสอบปริมาณน้ำตาลที่ระบุบนฉลากด้วย เพราะหากรับประทานน้ำตาลมากกว่าปริมาณที่แนะนำต่อวันย่อมไม่ดีต่อร่างกาย ทั้งนี้หากสาวๆ กังวลใจ ก็สามารถทำโยเกิร์ตรับประทานเองได้ง่ายๆ ด้วยการใช้เครื่องทำโยเกิร์ตนั่นเอง
ราคา 2,100 บาท
สนใจสั่งซื้อ : Shopee
ราคา 1,390 บาท
สนใจสั่งซื้อ : Shopee
WATCH
ราคา 1,490 บาท
สนใจสั่งซื้อ : Central
ข้อมูล : Pobpad, Big C, คมชัดลึก, Line Today, Gourmet & Cuisine
WATCH