
WELLNESS
เรากำลังเข้าสู่ยุคการเบิร์นเอาต์ในเรื่องความงามหรือเปล่า? | The Future of Appearance“เมื่อรูทีนความงามและการใช้ทรีตเมนต์ที่ขาดไม่ได้พาเราไปสู่จุดวิกฤต ความเจ็บปวดนี้กลับให้พลังกับความงาม” - เจสสิกา เดฟิโน่ |
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในซีรีส์บทความ “Future of Appearance” บทความวิเคราะห์และหาคำตอบเรื่องความงามและภาพลักษณ์ของมนุษย์ในอีก 20 ปีข้างหน้า
ความงามทุกวันนี้ก็เหมือนกับการพยายามออกกำลังกาย ทั้งมากขั้นตอน ทั้งแสนเหนื่อยล้า แถมยังเลี่ยงไม่ได้ถ้าหากอยากดูแลตัวเอง
เทรนด์มาแรงในเวลานี้อย่าง “High Maintenance to be Low Maintenance” หรือ การทุ่มเทดูแลตัวเองอย่างหนักเพื่อการดูแลตัวเองแบบไม่ต้องมากขั้นตอนในระยะยาว เช่น การพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้ลุค ‘Effortless’ ทั้งการสักคิ้ว สักปาก ลิฟท์ขนตา ทำทรีทเมนต์ฉายแสง LED สีแดง หรือใช้คลื่น Microcurrent นวดหน้า ผลลัพธ์ที่ได้คือการลดเวลาการแต่งหน้าได้มากกว่าครึ่ง หรือการทำ ‘Morning Shed’ ที่เป็นการล้าง-ลอก-ถอด-แกะไอเท็มที่ทำทิ้งไว้ข้ามคืน (มาสก์หน้า เทปดึงหน้า มาสก์รอบดวงตา ลิปทินต์แบบลอก แกนม้วนผมไร้ความร้อน เป็นต้น) จนทำให้การ ‘Get Ready’ ในช่วงเช้าเปลี่ยนเป็นการเก็บเศษสิ่งของเหล่านี้ไปทิ้งแทน
ความงามกับความหมกมุ่น
หนึ่งตัวอย่างด้านบนนี้คืออินฟลูเอนเซอร์ผู้คลั่งใคล้การดูแลตัวเองนามว่าส Tween หญิงผู้มีรูทีนต่อต้านความแก่ชราที่ละเอียดกว่าใคร เธอทุ่มเงินกว่าหนึ่งแสนสี่หมื่นดอลลาร์ไปกับการยกกระชับใบหน้าด้วยหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งไลฟ์สไตล์ของเธอตรงกับรายงานขององค์กร International Society of Aesthetic Plastic Surgery ที่พบว่าการใช้โบท็อกซ์หรือฟิลเลอร์มีเพิ่มมากขึ้นกว่า 58 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปี 2019 ถึง 2023 และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีนวัตกรรมและเทรนด์ความงามใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา ทั้งยาลดน้ำหนักรูปแบบใหม่ การทำฟันวีเนียร์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เคลมผลลัพธ์ผมยาวเร็วขึ้นบ้าง ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นบ้าง เสริมการทำงานของลำไส้บ้าง รวมไปถึงการทำฟันให้มันเงาเหมือนกับทาลิปกลอส และการลดรอยเหี่ยวย่นที่แผ่นหลัง รวมๆ แล้วสิ่งที่ถูกเรียกว่านวัตกรรมใหม่ได้เกิดขึ้นมาทั้งหมดแล้วบนโลกใบนี้ก็ว่าได้
WATCH
“ความสวยความงามเป็นเรื่องที่กินเวลาชีวิตของเรามากมาโดยตลอด” - Zeynab Mohamed นักข่าวและนักเขียนในหนังสือพิมพ์ Face Value
ช่วงหลังมานี้ซีแนบเริ่มรู้สึกเครียดและกดดันการระหว่างเธอกับคอมมูนิตี้ความงามที่เธอติดตาม “บางครั้งขั้นตอนง่ายๆ ในรูทีนความงามของฉันมันกลายเป็นเรื่องยากอย่างบอกไม่ถูก” หากลองสังเกตจากอินฟลูเอนเซอร์ยุคนี้หลายคนก็เริ่มรู้สึกทั้ง “เหนื่อย” และ “หน่าย” กับความงาม จนท้ายที่สุดก็ก้าวออกจากวงการนี้ไป ยกตัวอย่าง Lee Tilghman อดีตอินฟลูเอนเซอร์และเจ้าของผลงานหนังสือ If You Don’t Like This, I Will Die ที่กล่าวว่า “ฉันพูดได้เลยว่า 100% ของเวลา พลังงาน และพื้นที่ในสมองของฉัน รวมไปถึงรายได้ 30-40% ถูกทุ่มเทให้กับเรื่องความงามและเวลเนส”
ปัจจุบันมีงานเขียนและภาพยนตร์หลายเรื่องสะท้อนประเด็นความงามที่ครอบงำคนจนเกิดเป็นปัญหาอย่างหนังสือนิยายเรื่อง Aesthetica เขียนโดย Allie Rowbottom ที่เนื้อหาพาจินตนาการไปถึงการศัลยกรรมเพื่อย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นก่อนที่จะทำการผ่าตัดหรือหัตถการใดๆ ทั้งหมด หรือภาพยนตร์ The Substance ที่เผยถึงความคลั่งไคล้ความสวย ดูเด็ก และเพอร์เฟ็คตลอดเวลาจนกลายเป็นเรื่องน่าสยดสยอง ทั้งหมดนี้อาจกลายเป็นการทำนายจุดจบที่กลายเป็นการเบิร์นเอาท์เรื่องความงามก็เป็นได้
"ความสวย" ที่เปลี่ยนไปตามสังคมและการเมือง
องค์กร WGSN ได้ทำนายถึงภาวะเบิร์นเอาท์ครั้งใหญ่ (The Great Exhaustion) ที่จะเป็นเหมือนหมอกปกคลุมมนุษย์ทุกคนภายในปี 2026 ความรู้สึกที่คล้ายกันเป็นกลุ่มใหญ่นี้ถูกกระตุ้นจากปัญหาทางสังคมนับไม่ถ้วน สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ความไม่เท่าเทียมทางรายได้ ชีวิตบนโลกออนไลน์ที่แบ่งแยกพรรคพวกทางการเมืองอย่างชัดเจน ปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่ทำให้เกิดค่ารักษาพยาบาลสูงลิ่ว การมาถึงของ AI ที่กดดันเหล่าแรงงาน สงครามที่ยังไม่มีทีท่าจะจบลง ปัญหาสิทธิมนุษยชนต่างๆ ที่ยังคารังคาซัง ซึ่งรายงานของ WGSN นี้ถูกทำขึ้นเพื่อส่งให้หน่วยงานและบริษัทต่างๆ หาทางออกที่ดีที่สุดเพื่อความสงบสุขในระยะยาว
จากมุมมองของผู้เขียน (Jessica Defino) ได้วิเคราะห์ถึงทฤษฎีที่ว่ารูทีนความงามจะปรับเปลี่ยนไปตามความวุ่นวายทางการเมือง โดยเรียกชื่อทฤษฎีนี้ว่า “ดัชนีความงาม” (Aesthetic Index) วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 2007 เกิดขึ้นพร้อมกับเรียลลิตี้ “Keeping Up With The Kardashian” โดยเทรนด์แต่งหน้าภายใน 5 นาทีที่เกิดขึ้นก่อนหน้าก็ถูกแทนที่ด้วยเทรนด์เมกอัปแบบคาร์เดเชียนที่เน้นขั้นตอนซับซ้อนกว่าเดิม ทั้งรองพื้น คอนซีลเลอร์ แป้ง ไฮไลต์ คอนทัวร์ บรอนเซอร์ บลัชออน และลิปสติกสีนู้ดน้ำตาล
ถัดมาในปี 2016 หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เทรนด์สกินแคร์ถูกรีแบรนด์ใหม่เป็นเทรนด์การดูแลตัวเอง (SelfCare) จนกลายเป็นอุตสหกรรมที่เติบโตขึ้นกว่า 45% ในปีถัดมา นับว่าเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วที่สุดในเวลานั้น การค้นหาสกินแคร์ 10 ขั้นตอน (เคลนเซอร์ โทนเนอร์ เอสเซนส์ ผลัดเซลล์ผิว เฟซออยล์ เซรั่ม เจลแต้มจุดด่างดำ ครีมกันแดด มอยส์เจอไรเซอร์และมาสก์) พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่แรกที่ทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดี และการค้นหา ‘Meta Face’ ก็ปรากฏมากขึ้นในช่วงท้าย เทรนด์นี้ถูกปรับแต่งขึ้นตามฟิลเตอร์บนอินสตาแกรมและเทคโนโลยีแต่งภาพในแอปพลิเคชันต่างๆ จนเกิดเป็นค่าใช้จ่ายด้านความงามแบบไม่ต้องผ่าตัดที่มีมูลค่ากว่าหนึ่งหมื่นเจ็ดพันดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี (ประมาณห้าแสนหกหมื่นบาท) ตามการประมาณการในปี 2019
ปี 2020 ช่วงวิกฤตโรคระบาด ผู้คนต่างหมกหมุ่นกับเรื่องความงามมากขึ้น หนึ่งในสิ่งชี้วัดได้เช่นพอดแคสต์ The Naked Beauty ของ Brooke Devard มีผู้ฟังมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด การใช้ชีวิตอยู่กับแอปพลิเคชั่น Zoom ก็กระตุ้นให้เกิดกระแสการทำโบท็อกซ์ การศัลยกรรมก็เช่นกัน และที่ตามมาที่หัตถการต่างๆ ที่เติบโตขึ้นกว่า 19% ในสองปีต่อมา
การพลิกคำตัดสินคดี Roe v. Wade ที่ตัดสิทธิการทำแท้งของผู้หญิงจนกลายเป็นการกดขี่อย่างเป็นการทางในปี 2022 เทรนด์ ‘Glazed Donut Skin’ ก็เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ในปี 2023 หลายรัฐในอเมริกาต่างออกกดแบนการทำแท้ง เหล่าผู้หญิงต่างต้องการเรียกร้องสิทธิในร่างกายกลับคืนมา ในเวลาเดียวกันเทรนด์การดูแลรูปร่างให้ดูดีดั่งบาร์บี้ก็เกิดขึ้นพร้อมกับเทรนด์การฉีดโอเซมปิก (Ozempic) หรือการโจมตีสิทธิบุคคลข้ามเพศในหลายรัฐก็ทำให้เกิดกระแสการย้อนกลับไปเป็นวัยรุ่นที่บำบัดผ่านการใช้ลิปกลอสสีชมพูและกิ๊บติดผมรูปโลว์ และเมื่อทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งในปี 2024 หญิงคนหนึ่งก็ให้สัมภาษณ์กับ The Telegraph ว่าเธอใช้เงินก้อนใหญ่ช็อปในช่วงเซลของเซโฟราเพื่อรับมือกับรูทีนความงามที่กลับมาซับซ้อนในปี 2025 ที่ไม่แน่ว่าจะเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ทางการเมืองอีก
ท้ายที่สุดแล้วความเหนื่อยล้าที่กลายเป็นการเบิร์นเอาท์คืออะไรกันแน่? ถ้าไม่ใช่ปัญหาที่เหล่าบิวตี้แบรนด์ต้องแก้ไข
จากประสบการณ์ของ Lee Tilghman การเบิร์นเอาท์สามารถแสดงออกผ่านร่างกายได้ การเบิร์นเอาท์นี้อาจส่งผลให้เกิดความเครียดที่ตามมาด้วยปัญหาผมร่วง เป็นสิว ผิวหมองคล้ำ ริ้วรอยก่อนวัย และสุดท้ายคือการใช้เงินแก้ไขปัญหาแบบผิวเผินกับไอเท็มความงามในตลาดมากขึ้น
หมายเหตุเรื่องรูปภาพ:
เนียล วิลสัน (Niall Wilson) นักออกแบบอาวุโสสร้างรูปภาพทั้งหมดในซีรีส์บทความนี้จากเครื่องมือใน GPT-4o ด้วยการร่วมมือของ Condé Nast และ OpenAI เพื่อให้รูปภาพสะท้อนถึงเรื่องราวในเนื้อหาได้อย่างชัดเจนที่สุด ซึ่งประเด็นศีลธรรมและความยุติธรรมในการใช้ AI เป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญอยู่เสมอ ด้วยเนื้อหาทั้งหมดนี้เราพูดถึงสภาพสังคมในโลกที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงและ AI ก็คือเครื่องมือที่ถูกใช้กับเรื่องในอนาคต นี่จึงเป็นเรื่องที่ทำให้ทีมของเรามองว่ามีความเหมาะสมกับการทดลองสร้างรูปภาพจาก AI ด้วยเช่นกัน
โดยเนียลได้เขียนพรอมต์คำสั่งอย่างชัดเจนโดยไม่มีการอัปโหลดภาพหรือสิ่งที่มีลิขสิทธิ์เป็นเรฟเฟอเรนซ์ ทุกรูปภาพล้วนสร้างขึ้นจากคอนเซ็ปต์ของทีมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
หากต้องการให้ฟีดแบ็กหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถอีเมลไปที่ feedback@voguebusiness.com
เรื่อง : Jessica Defino, Vogue Business
แปล และ เรียบเรียง : ธีรชยา พิมพ์กิติเดช
WATCH