TREATMENTS

ไขข้อสงสัย ‘เมโสหน้าใส’ มีประโยชน์และช่วยเรื่องอะไรบ้าง พร้อมทิปส์ดูแลตัวเองง่ายๆ หลังทำที่ควรรู้!

โว้กบิวตี้รวบข้อมูลเบื้องต้นก่อนตัดสินใจทำจริงกับ ‘เมโสหน้าใส’ ที่จะช่วยดูแลปัญหาผิวให้แลดูเรียบเนียน กระจ่างใส และสุขภาพดี

ในปัจจุบันมีวิธีการดูแลผิวหน้าหลากหลายวิธี ซึ่งหนึ่งในนั้นมีวิธีที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย ที่จะสามารถตอบโจทย์การบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึกจากภายใน พร้อมเสริมสร้างความมั่นใจให้กับสาวๆ อย่าง ‘เมโสหน้าใส’ ที่ช่วยดูแลปัญหาผิวให้แลดูสุขภาพดี ลดเลือนริ้วรอยจุดด่างดำจากปัญหาสิวอักเสบ รวมทั้งปัญหาฝ้า กระ และมอบผิวสัมผัสที่เรียบเนียนแลดูกระจ่างใส สำหรับวันนี้โว้กบิวตี้ได้รวบรวมข้อมูลคร่าวๆ มาบอกต่อกันในบทความนี้

‘เมโสหน้าใส’ คืออะไร

เมโสหน้าใส หรือ Mesotheraphy คือหัตถการทางลัดวิธีหนึ่งที่เห็นผลไว ด้วยการใช้สารเติมเต็มที่มีสารสกัดเข้มข้นจากวิตามินสำคัญและสารบำรุงที่มีประโยชน์เข้าสู่ผิวหนังชั้นกลางของผิวหน้าโดยตรง เพื่อฟื้นบำรุง ผลัดเซลล์ผิวเพิ่มคอลลาเจนในชั้นผิว และซ่อมแซมความเสียหายของผิวจากสิ่งสกปรกและมลภาวะต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ผิวกลับมาแข็งแรงมีสุขภาพดีและเผยผิวสัมผัสที่เรียบเนียน

เมโสหน้าใสมีคุณสมบัติช่วยเรื่องอะไรบ้าง

เมโสหน้าใสสามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไปจนถึงผู้สูงอายุ เพราะนอกจากสารวิตามินและสารบำรุงผิวสำหรับฉีดเมโสหน้าใสจะช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนใส ยังช่วยลดโอกาสเกิดสิวอักเสบ และสิวอุดตันที่พบได้บ่อยในวัยรุ่น

นอกจากเมโสหน้าใสจะโดดเด่นและเลื่องชื่อในเรื่องของหน้าใสแล้ว แต่ความจริงแล้วเมโสหน้าใสยังช่วยแก้ปัญหาได้มากกว่าที่คิด ได้แก่

  • เสริมความชุ่มชื้นที่เพียงพอให้กับผิว ส่งผลให้ผิวแลดูอิ่มฟู ฉ่ำโกลว์
  • ลดรอยจุดด่างดำจากปัญหาสิวอักเสบ รวมทั้งปัญหาฝ้า กระ
  • ลดการเกิดเม็ดสีเมลานิน ลดความหมองคล้ำของผิวให้กลับมากระจ่างใส
  • ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวและเนียนนุ่มให้กับผิว
  • ลดความมันส่วนเกินที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว
  • ลดโอกาสการเกิดสิวอักเสบและปัญหาผิวหนังอักเสบ
  • เสริมความแข็งแรงให้ผิว ฟื้นฟูผิวจากสารพิษ ทำให้ผิวไม่แพ้ต่อสารเคมีหรือสารบำรุงผิวได้ง่าย
  • กระชับรูขุมขนที่กว้างให้เล็กลง ผิวแลดูเรียบเนียนได้อย่างทั่วถึง


WATCH



เมโสหน้าใสมีกี่แบบ

ในปัจจุบันการทำหัตถการเมโสหน้าใสสามารถแบ่งได้ตามจุดประสงค์หลัก 3 แบบ โดยแต่ละแบบต่างก็จะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาผิวต่างๆ ที่แตกต่างกัน ดังนี้

  1. เพื่อให้หน้าแลดูกระจ่างใส ด้วยตัวเมโสจะเน้นส่วนผสมของวิตามินต่างๆ ที่ทำให้หน้าแลดูใสสุขภาพดี เช่น Vitamin A, Vitamin B, Vitamin C, Vitamin E, Transamin และ Glutathione ซึ่งหลังทำผิวหน้าจะค่อยๆ กระจ่างใสขึ้น ทั้งยังช่วยลดรอยสิว รอยดำ รอยแดงได้เป็นอย่างดี
  2. เพื่อให้หน้าใสเรียบเนียน ด้วยส่วนผสมของคอลลาเจนและโคเอนไซม์เป็นหลัก ที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว มอบสัมผัสผิวที่แลดูอิ่มฟู และกระชับรูขุมขนมากยิ่งขึ้น
  3. เพื่อลดการเกิดสิว แก้ผื่น จะช่วยลดการอักเสบ ขับสารพิษที่สะสมในผิวหน้าออก หลังฉีดปัญหาสิวจะค่อยๆ ลดลง ทั้งยังช่วยลดโอกาสเกิดสิวใหม่ได้ดีอีกด้วย

นอกจากนั้น ในส่วนของหลักการและวิธีการทำหัตถการเมโสหน้าใสในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 2 เทคนิค ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป

  1. เทคนิคสะกิด

เป็นการนำเข็มขนาดเล็ก คอยจิ้มเข้าสู่ชั้นผิวเป็นจุดเล็กๆ ทั่วใบหน้า เพื่อเปิดผิวชั้นนอกให้ตัวยาซึมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น

เทคนิคนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว โดยหลังทำผิวจะมีความกระจ่างใสและเต่งตึงขึ้นเล็กน้อย

ข้อดี: รู้สึกเจ็บน้อยกว่าเพราะเป็นใช้เข็มสะกิดเบาๆ

ข้อเสีย: การเลือกเทคนิคนี้จะออกฤทธิ์ได้ไม่ดีเท่าแบบ16จุด อาจทำให้เกิดรอยแดงบนใบหน้า นอกจากนั้นยังต้องดูแลตัวเองหลังทำให้ดี เพราะไม่งั้นบริเวณรอยจิ้มอาจอับเสบเป็นสิวขึ้นได้ โดยแนะนำว่าควรหยุดทาสกินแคร์และแต่งหน้าเป็นเวลา 24 ชั่วโมงหลังทำ

 

  1. เทคนิค 16 จุด

เป็นการจิ้มตามทิศทางไหลเวียนของต่อมน้ำเหลืองเพื่อให้วิตามินซึมเข้าสู่ผิวได้ดี เทคนิคนี้จะช่วยส่งสารเติมเต็มเมโสเข้าไปยังชั้นผิวได้ลึกกว่าแบบสะกิด นอกจากนั้นยังทำให้ผิวสามารถดูดซึมสารเติมเต็มได้ดีกว่าอีกด้วย

ข้อดี: เกิดแผลบนใบหน้าน้อย สารเติมเต็มเมโสออกฤทธิ์ได้นาน เห็นผลไวและเห็นผลลัพธ์ได้ชัดกว่าการสะกิด

ข้อเสีย: เจ็บกว่าแบบสะกิดและมีราคาสูง

กี่วันเห็นผลและอยู่ได้นานแค่ไหน

หลังทำหัตถการเมโสหน้าใสแล้วจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นประมาณ 3 วันหลังทำ และจะเริ่มเห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้นประมาณ 7-14 วัน โดยจะค่อยๆ เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวหน้าที่ดูสดใสสุขภาพดีขึ้นจากผิวสัมผัสที่นุ่มและชุ่มชื้น แลดูกระจ่างใสกว่าเดิม โดยความถี่ของการทำหัตถการนี้ปกติแล้วจะทำสัปดาห์ละครั้งในเดือนแรก และหลังจากนั้นในเดือนถัดไปจะทำทุกๆ 2 สัปดาห์ เพื่อคงผลลัพธ์ในแบบที่ต้องการไว้ ในส่วนผลลัพธ์ของเมโสหน้าใสจะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 เดือน และจะสลายหายไปเองตามธรรมชาติและไม่ทิ้งสารตกค้างไว้

 

การดูแลตัวเองก่อน-หลัง ทำหัตถการเมโสหน้าใส

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญในทุกหัตถการทางความนั่นก็คือการเตรียมตัวก่อนทำและการดูแลตัวเองหลังทำ เพราะถือเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดผลลัพธ์เลยก็ว่าได้

ก่อนทำ

  • ไม่ควรกด นวดผิวบริเวณที่ทำทันทีหลังฉีด
  • งดทาครีมบริเวณที่ฉีด 1 คืน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอาการระคายเคืองต่อผิว
  • หากเกิดรอยแดง ช้ำ จากรอยเข็มบริเวณที่ฉีด สามารถนำอะไรมาประคบเย็นได้
  • สามารถกินยาแก้ปวดได้หากมีอาการปวดระบมตามรอยเข็มในคืนแรก
  • ดื่มน้ำมากๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดทำให้การดูดซับสารวิตามินไปใช้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

หลังทำ

  • หลังทำควรงดล้างหน้าเป็นเวลา 4-6 ชั่วโมงเพื่อให้ตัวยาสามารถซึมลงสู่ผิวได้ดีก่อน ซึ่งการล้างหน้าจะเป็นการชำระล้างเอาตัวยาและวิตามินที่จำเป็นต่อผิวให้หลุดออกไป
  • งดการแต่งหน้า หรือทาครีมบำรุงผิวเป็นเวลา 24 ชั่วโมงหลังทำเพื่อป้องกันการอักเสบของผิวจากรอยจิ้ม
  • ควรบำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ รวมถึงการทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันเพื่อป้องกันผิวจากแสงแดดและมลภาวะต่างๆ
  • งดทาสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของกลุ่มไวต์เทนนิ่ง หรือครีมที่มีส่วนผสมของสารผลัดเซลล์ผิวเช่น AHA BHA เป็นเวลา 48 ชั่วโมงหลังทำ เนื่องจากจะทำให้ผิวมีความแพ้ระคายเคืองได้ง่าย

 

ราคาหัตถการเมโสหน้าใส

ค่าทำหัตถการเมโสหน้าใสนั้นส่วนใหญ่จะมีราคาที่ไม่เท่ากันในแต่ละคลินิก ขึ้นอยู่กับตัวสารเติมเต็มและโปรโมชั่น เพราะบางคลินิกจะมีโปรโมชั่นร่วมกับการทำทรีตเมนต์ผลักวิตามินอื่นๆ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีราคาเริ่มต้นที่ 1,000-5,000 บาท ซึ่งก่อนตัดสินใจทำควรศึกษาข้อมูลคลินิกและสารเติมเต็มที่ใช้ให้แน่ชัดว่าได้มาตรฐานด้านความสะอาดและความปลอดภัยอีกด้วย 

ทางกังนัมคลินิก คลินิกเสริมความงามที่ได้รับมาตรฐานสากล สำหรับผู้ที่สนใจทำหัตถการนี้ สามารถขอคำปรึกษาจากทีมแพทย์ของทางกังนัมคลินิกได้ที่ไลน์ @gangnamclinic

WATCH