
TREATMENTS
คุยกับคุณหมอโอ๊ค-สมิทธิ์ | เสริมความงามรูปแบบใหม่ในปี 2025 มีอะไรบ้าง?เครื่องเลเซอร์พัฒนาใหม่ ไบโอสติมูเลเตอร์ตัวไหนเหมาะกับใคร ในปี 2025 การเสริมความงามมีเรื่องจิตวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย? |
งาน World Congress ณ กรุงปารีสที่จัดขึ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมานับเป็นงานครั้งสำคัญของแวดวงเสริมความงามที่จะอัปเดตเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ไม่ว่าจะรูปแบบเครื่อง สารเติมเต็ม หรือข้อมูลเชิงการแพทย์ต่างๆ ซึ่งครั้งนี้คุณหมอโอ๊ค-สมิทธิ์ก็เข้าร่วมและเก็บข้อมูลสำคัญมาเช่นกัน โว้กบิวตี้จึงไม่พลาดที่จะเข้าพบคุณหมอพร้อมกับย่อยข้อมูลทั้งหมดของงานมาฝากชาวโว้กบิวตี้กันในบทความนี้
เครื่องเลเซอร์ฉบับอัปเกรต
ภาพจำของเครื่องเลเซอร์ไม่ว่าจะสำหรับหัตถการใดคือเครื่องขนาดใหญ่เทอะทะ แต่เครื่องรุ่นใหม่ๆ ทึ่ถูกอัปเกรตจะกลายเป็นซอฟต์แฮนด์เฮลด์ที่ขนาดเล็กลง แพทย์ใช้งานได้สะดวก ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะตรงจุดมากขึ้น ส่วนการรับมือเม็ดสีหรือรอยด่างดำ เครื่องเลเซอร์ที่มีแนวโน้มเป็นที่นิยมคือเครื่อง PICO โดยถูกพัฒนาให้ได้ตัวเลือกผลลัพธ์ที่หลากหลายขึ้น ทั้งรอยหลุมสิว คุณภาพผิว และรอยดำ
การค้นพบล่าสุดของขนาดแสงเลซอร์
เครื่องคอนเซ็ปต์ใหม่อย่าง Dermal Coring เกิดขึ้นไม่นานมานี้เช่นกัน โดยจะมีทั้งเครื่องที่ใข้เข็มเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่มาเจาะผิวเข้าไป และอีกรูปแบบคือใช้ลำแสงเลเซอร์ที่ปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้นเพื่อให้สามารถเจาะเข้าไปในผิวได้ วิธีนี้เป็นสิ่งที่แพทย์ค้นพบว่าสามารถทำให้ผิวหดได้ แม้เข็มและเลซอร์จะมีขนาดใหญ่แต่ขนาดแผลจะเล็กและหายในระยะเวลาที่ยอมรับได้ พร้อมกับผลข้างเคียงที่น้อย
WATCH
สารเติมเต็มมาแรงจริงแต่บางชนิดก็เริ่มตกกระแส
ไลฟ์สไตล์คนยุคนี้เริ่มหันมาใส่ใจเรื่อง “ผิวดี” กันมากขึ้น การบำรุง-ปรับปรุงผิวจึงเป็นตัวเลือกแรกเสมอ การใช้สารหรือยาเพื่องานผิวจึงยังคงกระแสแรงไม่มีตก แต่หนึ่งชนิดที่เริ่มลดความนิยมลงคือเรื่อง “วอลูมลิฟต์”
...เพราะคนเราไม่ชอบเรื่องลิฟติ่งให้หน้ายกแล้วหรือ?
เปล่าเลยเพราะการแพทย์ค้นพบมาสักระยะแล้วว่าการเติมวอลูมให้ผิวเพื่อดูยกกระชับในระยะยาวฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็มไม่สามารถสลายเองได้หมดหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ตามที่หวังไว้ แถมยังมีการดึงน้ำในผิวมาใช้เพิ่ม และหากฉีดทับไปเรื่อยๆ ผิวก็จะบวมและยืด สุดท้ายอาจตามมาซึ่งผิวหย่อนคล้อยแทน วอลูมลิฟต์จึงถูกเลือกน้อยลงและเปลี่ยนไปเป็นงานผิวที่เข้าไปทำงานในชั้นผิวได้มากกว่าแค่เติมเต็ม
การกลับมาของการเติมเต็มด้วยคอลลาเจน
ในอดีตมีการคอลลาเจนที่ใช้สกัดมาจากวัวมาใช้กระตุ้นการทำงานของผิวมนุษย์ แต่ด้วยอัตราการแพ้มีสูง ก่อนฉีดจะต้องทดสอบให้ชัดเจนก่อน ขั้นตอนที่มากแถมยังเสี่ยงจึงทำให้การฉีดคอลลาเจนหายไปตั้งแต่นั้นมา แต่ในปี 2025 ถึงเวลาคัมแบ็กของคอลลาเจน
โครงสร้างของผิวธรรมชาติมีคอลลาเจนเป็นหลัก แต่หากฉีดไฮยาลูรอนิก (Ha) มากเกินไป หน้าก็จะบวม โดยคอลลาเจนที่จะกลับมาในปี 2025 นี้คือคอลลาเจนที่สกัดจากหนอนไหม โดยผ่านขั้นตอนการสกัดใหม่ที่ทำให้ท้ายที่สุดไม่ต้องทดสอบหาอาการแพ้ก่อนถึงจะใช้ได้
ยุคนี้หน้าไม่แน่นวอลูมแต่แน่นคอลลาเจน
เราบอกลาการเสริมความงามแบบ “หน้าแน่น” กันมาไกลมาก โดยหนึ่งตัวแปรสำคัญคือ Biostimulator ที่ปัจจุบันมีการผลิตออกมาแข่งขันกันหลายยี่ห้อ เป้าหมายของไบโอสติมูเลเตอร์ไม่ใช่การเพิ่มวอลูมเป็นหลัก แต่เน้นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ วอลูมที่ได้หลังฉีดจะเป็นผลลัพธ์ระยะสั้นเท่านั้น แถมปัจจุบันหลายยี่ห้อก็เคลมถึงการกระตุ้นอื่นๆ นอกจากคอลลาเจนอย่างไฮยาลูรอนิกด้วย ทำให้ไบโอสติมูเลเตอร์ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะผลลัพธ์ที่ได้ไม่ดู “แน่น” จนไม่เป็นธรรมชาติเหมือนแต่ก่อน
- พีเอ็นไบโอสติมูเลเตอร์: รูปแบบที่นับว่าซอฟต์ที่สุด การออกฤทธิ์จะเป็นโครงตาข่าย จะค่อยๆ ให้ผลลัพธ์ทีละนิด โดยจำเป็นต้องกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ระยะเวลาที่แพทย์มักจะแนะนำคือเดือนต่อเดือนติดกันสามครั้ง จากนั้นจะคอยดูผลลัพธ์ต่อ
- แคลเซียม ไฮดรอกซีอะพาไทท์ (Calcium Hydroxylapatite,CaHA): รูปแบบที่สามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้ค่อนข้างมากทำให้ความถี่จะอยู่ที่หนึ่งถึงสองครั้งต่อปี
- โพลิเมอร์ (Polymer Biostimulator): กลุ่มโมเลกุลที่กระตุ้นผ่านอาการอักเสบ ผลลัพธ์ที่ได้จึงอาจได้มากกว่า
*ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วยเช่นกัน
ความจริงของการฉีดซ้ำซ้อน
เมื่อตัวเลือกมีหลากหลาย คำถามที่เกิดขึ้นบ่อยคือเราสามารถใช้สารเติมเต็มคู่กันได้หรือไม่ เช่นหากต้องการวอลูมปรับโครงหน้าคู่กับการทำงานผิว ต้องเว้นระยะห่างเท่าไหร่ หรือทำคู่กันได้หรือไม่ ตามจริงยังไม่มีงานวิจัยที่สามารถยืนยันได้ชัดเจนเลยว่าฉีดโมเลกุลนี้แล้วต้องเว้นระยะกี่วันหรือกี่เดือนก่อนจะฉีดสารเติมเต็มอื่น ช่วงเวลานี้ยังเป็นช่วงของการเก็บหลักฐานที่จะกลายเป็นสิ่งยืนยันให้กับงานวิจัยในอนาคตต่อไป

ภาพ: Getty Images/ Anna Tretriak
การผ่าตัดเล็กกำลังมาแรงขึ้น?
ภายในงานมีกลุ่มนวัตกรรมมาแรงชนิดหนึ่งที่ลดเส้นแบ่งระหว่างเรื่องผิว (Dermatology) กับการศัลยกรรม (Surgery) คือการผ่าตัดเล็กที่ให้ผลลัพธ์เรื่องผิว (Minimally Invasive Surgery) ยกตัวอย่างการใช้แท่งเหล็กขนาดเล็ก (เล็กกว่าแท่งเหล็กดูดไขมัน) สอดเข้าไปใต้ผิว จากนั้นปล่อยพลังงานความร้อนเพื่อหวังผลลัพธ์การสลายไขมัน ยกกระชับ และกระตุ้นเรื่องคุณภาพผิว ซึ่งรูปแบบนี้หลายคนอาจนึกถึงการร้อยไหมแบบเดิม แต่ผลลัพธ์การร้อยไหมจะเน้นแค่การยกกระชับเท่านั้น
เมื่อจิตวิทยาถูกหยิบมาใช้ในการเสริมความงาม
ขอบเขตใหม่ของการเสริมความงามคือเรื่องจิตวิทยา ตามจริงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่พึ่งจะมีการศึกษาและทดลองอย่างจริงจังในเวลานี้เท่านั้น แพทย์ยุคใหม่จำเป็นต้องตระหนักรู้อาการ Body Dysmorphic ของคนไข้ (อธิบายง่ายๆ คือผลลัพธ์ที่คาดหวังมันบิดเบี้ยวไปจากความเป็นธรรมชาติหรือไม่) เพื่อแนะนำและปรับความเข้าใจให้กับคนไข้
มีงานวิจัยพบว่าการเสริมความงามที่แม้จะไม่ได้ทำการผ่าตัดใหญ่ สามารถเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตได้มากถึง 50-60 เปอร์เซ็นต์และแน่นอนว่าส่งผลกับผู้อื่นที่มองมาด้วยเช่นกัน
เรื่อง ‘First Impression’ ยังเป็นเรื่องที่เราใส่ใจอยู่เสมอไม่ว่าสังคมจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน จนมีการค้นพบว่าใบหน้าหรือรูปหน้าบางรูปแบบยังเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงเศรษฐสถานะทางสังคมได้เช่นกัน (Socio-Economic) ยกตัวอย่างในแวดวงแฟชั่นเราจะมีภาพจำของรูปหน้าบางอย่างที่บ่งบอกได้ว่าเป็นไฮแฟชั่น เป็นสตรีท หรือเป็นลุคของบิวตี้ ซึ่งหมอโอ๊คได้เสริมว่ารูปหน้าแบบ ‘High Socio-Economic’ ก็มีความแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมและเขตพื้นที่อาศัย
ฝั่งตะวันตกในอดีตมีความชัดเจนว่ากลุ่มชนชั้นสูงมักจะมีใบหน้าที่เรียวยาว ผิวจะมีความอุ่น ไม่ขาวซีด ซึ่งจะสะท้อนถึงความแข็งแรงของสุขภาพด้วยเช่นกัน แต่ในฝั่งเอเชียเราใบหน้าที่เป็นภาพจำของกลุ่มไฮโซไซตี้คือใบหน้าที่มีความกลม ผิวมีเนื้อเต็ม และผิวสีขาวผ่อง
ใบหน้ายาวเข้ารูป ปากมีความยกขึ้น คิ้วโก่งและลอย ไม่ชิดกับตาเกินไป ถูกมองว่าเป็นรูปหน้าที่มีความ Positive
ยุค “ร่างทอง” ของคนเจน X
เรื่องความแตกต่างระหว่างแต่ละเจนก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ คนในเจเนอเรชั่น Baby Boomers ที่มักถูกมองว่าปล่อยวางจากเรื่องกายภาพกลับเป็นกลุ่มที่ยอมจ่ายเงินเพื่อเติมเต็มเรื่องกายภาพของตัวเอง หนึ่งสาเหตุอาจคาดเดาได้ว่าเบบี้บูมเมอร์เป็นรุ่นที่ผ่านการพัฒนาของเทคโนโลยีและมุมมองด้านความงามมาหลายรุ่น การเลือกทุ่มเงินเพื่อความงามจึงเป็นเรื่องการเติมเต็มความรู้สึกของคนเจนนี้ แต่ที่สำคัญสิ่งที่เลอืกทำแล้วนั้นต้องเห็นผลลัพธ์เสมอ
ในกลุ่มเจน X ถือเป็นวัยที่มีความ Individualism ทั้งรักและให้เคารพตัวเองอยู่เสมอ และเป็นวัยที่เน้นการเป็น “เวอร์ชั่นที่ดีที่สุด” ของตัวเอง กลุ่มคนเจนนี้จะเริ่มมีทุนทรัพย์มาก และก็มักจะดูแลตัวเองเพื่อสร้าง ‘ร่างทอง’ ที่ดูดีตามแบบของตัวเอง
ถัดมาในเจน Y คือกลุ่มที่รับมุมมองความสากลจากทั่วโลกมากขึ้น สังเกตได้ว่าคนเจนนี้จะรับรู้และตอบสนองกับเทรนด์ความงามไม่ว่าจะฝั่งตะวันตกหรือจากฝั่งเอเชียเองมากกว่าคนเจนอื่น การทดลองเพื่อหาข้อพิสูจน์ที่ตอบโจทย์ที่เป็นจุดเด่นของคนรุ่นนี้
สุดท้ายกับคนเจน Z ที่กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น คนเจนนี้เติบโตขึ้นมาพร้อมกับการรับรู้ความวุ่นวายในสังคมทั่วโลก ไลฟ์สไตล์ส่วนใหญ่จึงค่อนข้างระแวดระวังและมักตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัวอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลให้คนเจนซีสนใจเรื่องคลีนบิวตี้อย่างจริงจัง รวมถึงการเลือกเทรนด์ความงามที่ปลอดภัย มีหลักฐานชัดเจน และมีความเสี่ยงน้อยที่สุดอยู่เสมอ
สัมภาษณ์ และ เรียบเรียง : ธีรชยา พิมพ์กิติเดช
WATCH