SKINCARE

โว้กบิวตี้พารู้จัก The Ordinary แบรนด์ที่ “Extraordinary” | Exclusive

นี่คือแบรนด์ที่ไม่มีแม้แต่พรีเซนเตอร์คนดัง ไม่มีการตลาดที่หวือหวา แต่กลับเป็นสกินแคร์ที่อยู่ในใจของคนรักผิวมาโดยตลอด ความเรียบง่ายที่เน้นการใส่ใจผู้ใช้งานอย่างจริงใจนี่แหละคือสิ่งที่ทำให้ The Ordinary ไม่เหมือนสกินแคร์แบรนด์ไหนๆ

     แม้จะไม่เคยใช้แต่ก็ต้องเคยได้ยินชื่อเสียงกันมาบ้างกับแบรนด์ The Ordinary ที่เหล่าคนรักผิวในไทยต่างเรียกร้องและรอคอยให้เข้าไทยเสียที จนวันนี้ที่ความหวังกลายเป็นจริง เปิดตัวพร้อมให้ช็อปกันแล้วที่เซโฟร่า และทีมโว้กบิวตี้ได้รวมลิสต์ไอเท็มที่มือใหม่ของแบรนด์ต้องมีไปเรียบร้อย แต่หากใครยังอยากทำความรู้จักกับแบรนด์นี้ให้มากขึ้นอีกสักหน่อย บทความนี้เราจะพามาแกะกล่องตัวตนของแบรนด์ชื่อธรรมดาที่ให้ผลลัพธ์ไม่ธรรมดาผ่านการพูดคุยกับ Nicola Kilner ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริหารของแบรนด์

Nicola Kilner 

ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริหาร The Ordinary

ต้นกำเนิดของ “The Ordinary” 

     The Ordinary เกิดจากความคับข้องใจของ แบรนดอน ทรูแอกซ์ (Brandon Truaxe) ในช่วงที่ทำงานในอุตสาหกรรมความงาม เขาสังเกตเห็นบ่อยครั้งว่าส่วนผสมพื้นฐานต่างๆ ในผลิตภัณฑ์ ถูกนำมาขายให้ผู้บริโภคในรูปแบบของเทคโนโลยีใหม่และล้ำสมัย และผลดีที่ผู้บริโภคได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ มาจากสารสกัดเฉพาะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ส่วนผสมที่รู้จักกันดีอย่างวิตามินซี ไนอะซินาไมด์ และกรดไฮยาลูโรนิกล้วนเป็นส่วนผสมพื้นฐานที่ตอบโจทย์การบำรุงผิวที่แบรนด์ต่างหยิบมาใช้กันเสมอไม่ว่าจะในผลิตภัณฑ์ระดับไหน แบรนดอนจึงต้องการทำให้ส่วนผสมเหล่านี้ให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงง่ายขึ้นเช่นกัน 

ชื่อแบรนด์ ‘The Ordinary’ สื่อถึงความมุ่งมั่นทั้งด้านความเรียบง่ายและความโปร่งใส นำเสนอผ่านผลิตภัณฑ์บำรุงผิวคุณภาพสูงที่ไม่มีความซับซ้อนหรือลูกเล่นใดๆ มีเพียงส่วนประกอบที่มีประสิทธิภาพและจำหน่ายในราคาที่สมเหตุสมผล ชื่อแบรนด์ของเรายังแสดงถึงการให้ความสำคัญต่อสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น ขจัดความซับซ้อนซึ่งมักจะมีอยู่ในผลิตภัณฑ์ความงาม เราอยากให้การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมาสำหรับทุกคน”

แบรนด์เรียบง่าย ไร้ลูกเล่น แต่คุณภาพสูง

     The Ordinary ใช้ความธรรมดาเป็นคอนเซปต์ของแบรนด์ ซึ่งความธรรมดานี่แหละที่เป็นจุดเด่นให้ The Ordinary โดดเด่น ยกตัวอย่างการตั้งชื่อไอเท็มให้เข้าใจง่ายด้วยการใช้ส่วนผสมที่โดดเด่นในการรับมือแต่ละปัญหาผิว เช่น เซรั่ม Hyaluronic Acid 2% + B5 (with Ceramides) ที่แม้จะเป็นคนที่ไม่เก่งเรื่องส่วนผสมแต่เมื่อเห็นคำว่า Hyaluronic ก็เข้าใจได้ง่ายๆ เลยว่านี่คือเซรั่มสำหรับการเติมความชุ่มชื่นให้กับผิว



WATCH



ชื่อผลิตภัณฑ์ของ The Ordinary บนแพ็กเกจจิ้งและหน้าเว็บไซต์ที่ตั้งให้เห็นส่วนผสมและความเข้มข้นอย่างชัดเจน

     โดยนิโคล่าบอกกับโว้กบิวตี้ว่าการเผยส่วนผสมอย่างชัดเจนมีแรงบันดาลใจจากการซื้อยาในร้านยาจากเภสัชกรรม เราอาจสังเกตเห็นว่าราคาของยาพาราเซลตามอลแต่ละยี่ห้ออาจจะแตกต่างกัน แต่ทุกคนก็รู้ดีว่ายาพาราเซลตามอลไม่ว่าจะยี่ห้อใดก็จะให้ผลตามที่ระบุไว้ในฉลาก อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพดี แบรนด์จึงอยากให้ผู้ที่ใช้ The Ordinary เริ่มคิดเช่นนี้กับการเลือกซื้อเครื่องสำอางและสกินแคร์ด้วยการสื่อสารอย่างชัดเจนว่ามีส่วนผสมหลักใด เข้มข้นเท่าไหร่ ซึ่งก็จะง่ายต่อการมองหาไอเท็มที่ใช่สำหรับคนที่อาจไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการเลือกไอเท็มที่ตอบโจทย์ตัวเองด้วยเช่นกัน

ก่อนอื่นเลย The Ordinary แนะนำให้ทุกคนสร้างรูทีนบำรุงผิวที่ครอบคลุม 3 ขั้นตอน เตรียมผิว ดูแลผิว และปกป้องผิว (Prep, Treat, and Seal) ขั้นแรกเตรียมผิวด้วยการทำความสะอาดผิวเพื่อให้พร้อมกับขั้นตอนบำรุงผิวต่อไป จากนั้น รักษาปัญหาผิวที่กังวลโดยใช้เซรั่มหรือออยล์บำรุง ในขั้นตอนนี้เราอาจจะเลือกใช้ไอเท็มที่ประกอบไปด้วยส่วนผสม 1-2 ชนิดเพื่อดูแลปัญหาผิวบางปัญหา เช่น รูขุมขนกว้างหรือเสริมความกระจ่างใส หรืออาจจะใช้ไอเท็มที่มีส่วนผสมหลายตัวเพื่อดูแลปัญหาผิวที่มีความรุนแรงและเป็นวงกว้าง เช่น ริ้วรอยจากอายุผิวที่เสื่อมลง ผิวที่บอบบางมากขึ้น หรือชั้นผิวที่ถูกทำลาย โดยแนะนำให้ทาเซรั่ม 1-3 ชนิดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สุดท้ายคือขั้นตอนการปกป้องสารบำรุงผิวต่างๆ ด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ และต้องเสริมด้วยครีมกันแดดหากเป็นเวลาช่วงเช้า”

ไม่ “คลีน” แต่ “เคลียร์” The Ordinary

The Ordinary ก่อตั้งขึ้นจากหลักการของความจริงแท้และความโปร่งใส ตามจริง The Ordinary ไม่ได้เป็นแบรนด์ที่ ‘สะอาด – Clean’ มันขัดแย้งกับสิ่งที่เราเชื่อมั่น เพราะทำให้มาร์เก็ตติ้งมีน้ำหนักมากกว่าวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจน แต่ The Ordinary เป็นแบรนด์ที่ ‘โปร่งใส – Clear’ ทั้งด้านการตั้งราคา การสื่อสาร การนำเสนอแบรนด์ ในระหว่างที่เรากำลังก้าวไปสู่อนาคตที่มีความโปร่งใสมากขึ้น สิ่งสำคัญคือเราต้องตั้งคำถามกับวิธีที่อุตสาหกรรมความงามสื่อสารกับเรา และเชื่อว่าหน้าที่ตรวจสอบสารอันตรายที่ทุกคนต่างกังวลกันนั้นควรเป็นของนักพิษวิทยาที่มีประสบการณ์หรือคณะกรรมการด้านวิทยาศาสตร์ที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลที่ตั้งขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคมีความปลอดภัย” 

     เรื่องคลีนบิวตี้ที่มีอยู่ในแวดวงความงามมาเป็นทศวรรษ ยังคงเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันไม่จบสิ้นว่าสรุปแล้วมันมีประโยชน์จริงๆ หรือ? แค่ไม่มีสารกันเสียหรือสารอันตรายต่างๆ มันคือความคลีนแล้วจริงหรือเปล่า? แล้วส่วนผสมที่ขึ้นชื่อว่าสารเคมีเป็นอันตรายทุกชนิดเลยหรือไม่? คำถามเหล่านี้บวกกับมาตรฐานวัดความคลีนที่ยุคนี้มีหลากหลายองค์กร ไม่ว่าจะ EWG VERIFIED™ , MADE SAFE® หรือ Bcorp ทำให้การตีความค่อนข้างกระจัดกระจายอยู่ไม่น้อย แต่ The Ordinary ก็เผยอย่างซื่อตรงว่าไม่ใช่แบรนด์คลีน (ซึ่งพูดตามความจริงต้องมีความกล้าและมั่นใจในตัวผลิตภัณฑ์ระดับหนึ่งเลยถึงจะพูดเช่นนี้ได้ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อแบรนด์ได้เลยล่ะ) แต่ที่เพิ่มเติมมาแก้ต่างได้คือเป็นแบรนด์ที่ “เคลียร์” เห็นได้ชัดว่าแบรนด์ที่แสนธรรมดานี้เปิดเผยอย่างโปร่งใสตั้งแต่ข้อมูลบนแพ็กเกจจิ้ง และส่วนผสมที่เลือกใช้แบบตอบโจทย์ตรงประเด็นไม่ต้องมีเทคโนโลยีล้ำสมัยมาหลอกตา ทำให้จุดนี้เกิดเป็นอีกหนึ่งคำถามว่าแบบนี้ก็คือคลีนบิวตี้รูปแบบหนึ่งแล้วหรือไม่?

 

ภาพ: The Ordinary

The Ordinary เห็นอะไรในตลาดบิวตี้ของไทย?

ประเทศไทยเป็นตลาดที่ผู้บริโภคมีความรู้สูงมาก ทั้งในแง่วิทยาศาสตร์และส่วนผสมในสูตรต่างๆ นี่คือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ส่งผลให้เราอยากเป็นส่วนหนึ่งของตลาดความงามประเทศไทย และที่นี่ยังถือเป็นตลาดของผู้นำทางความคิดด้านศาสตร์ผิวพรรณและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมาโดยตลอด เรามองเห็นโอกาสที่จะได้เสริมความแข็งแกร่งด้านวิทยาศาสตร์ในตลาดความงามประเทศไทย และฉันก็ตั้งตารอโอกาสนี้เป็นอย่างมาก

อย่างที่คุณนิโคล่าบอกว่ากลุ่มผู้ใช้ในตลาดความงามของไทยค่อนข้างมีความรู้ในแง่ของการใช้งานและการเลือกซื้อ ซึ่งโว้กบิวตี้มองว่านี่คือหนึ่งจุดที่เตะตาให้ The Ordinary ก้าวเข้ามา ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นหนึ่งในผู้ใช้ที่พอมีความรู้เรื่องสกินแคร์ระดับหนึ่งแล้วเจอสกินแคร์ที่ออกแบบและนำเสนออย่างตรงจุดว่ามีส่วนผสมอะไรสำคัญ จะเป็นเหตุการณ์เหมือนเจอคนที่รู้จักกันได้ไม่นานแต่รู้สึกคลิกและเข้ากันได้พอดีดิบพอดี 

นอกจากนี้แวดวงความงามในไทยตอนนี้นับเป็นยุคของ “Longevity” ที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืนของความงาม ซึ่ง The Ordinary เองก็มีหลักการที่เข้ากับรูปแบบของไลฟ์สไตล์ความงามในไทยคือการยืนหยัดในการบำรุงผิวครบขั้นตอนและมีตัวเลือกสกินแคร์ที่ตอบโจทย์ปัญหาผิวที่หลากหลาย โดยเฉพาะเรื่องความแข็งแรงของผิวที่มีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สกินแคร์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เปปไทด์ และสารให้ความชุ่มชื้นจึงเป็นไอเท็มที่เหมาะกับการดูแลสุขภาพผิวในระยะยาว ทำให้ The Ordinary เข้ามากลมกลืนกับไลฟ์สไตล์ความงามของคนยุคนี้ได้อย่างลงตัว

VB: คุณและ The Ordinary สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมากให้กับอุตสาหกรรมความงาม ในฐานะที่เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารที่เป็นผู้หญิงและเป็นผู้นำในสายธุรกิจนี้ คุณเคยเผชิญกับความท้าทายใดบ้าง และคุณมีข้อแนะนำใดให้กับผู้หญิงที่กำลังพยายามก้าวไปสู่ความสำเร็จ? 

NICOLA: “ฉันยึดถือว่าการมีจิตใจที่ดีเป็นหนึ่งในพลังสำคัญทั้งในแง่ธุรกิจและการใช้ชีวิต และฉันคิดว่านี่เป็นคุณสมบัติที่จำเป็นต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายและความสำเร็จที่ยั่งยืน ในฐานะผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งผู้นำองค์กร หนึ่งในความท้าทายที่ฉันเคยเผชิญคือความกดดันที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้หญิงจำนวนมากในอุตสาหกรรมนี้ต้องเผชิญ แต่หลังจากผ่านสิ่งต่างๆ ฉันได้เรียนรู้ว่าความล้มเหลวไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว ยิ่งคุณพยายามมากเท่าไหร่ คุณจะยิ่งได้รับข้อเสนอแนะจากผู้อื่น และคุณจะสามารถพัฒนาความคิดใหม่ๆ ได้มากขึ้น คำแนะนำที่ฉันอยากมอบให้ผู้หญิงที่กำลังพยายามก้าวไปสู่ความสำเร็จนั้นง่ายมาก นั่นคือจงอย่ากลัวที่จะล้มเหลว ยอมรับกระบวนการ เรียนรู้จากกระบวนการ และยึดมั่นต่อทั้งวิสัยทัศน์และคุณค่าของคุณ

WATCH

TAGS : Interview