เป็นอีกครั้งที่ออกัสตินัส บาเดอร์สร้างก้าวสำคัญให้กับวงการสกินแคร์
Augustinus Bader ใช้เวลาเพียง 7 ปีในการเติบโตเป็นสกินแคร์ลักชัวรีที่ทั่วโลกยอมรับในคุณภาพผ่านจุดเด่นอย่าง TFC8® (Trigger Factor Complex™) ที่ศาสตราจารย์ออกัสตินัส บาเดอร์ใช้เวลากว่า 30 ปีในการคิดค้น ซึ่งในปีนี้สกินแคร์ตัวล่าสุดอย่าง The Elixir ก็เป็นที่น่าจับตามองด้วยเทคโนโลยีเอกสิทธิ์ที่ถูกพัฒนาสู่เจเนอเรชั่นใหม่ที่ทรงประสิทธิภาพกว่าเดิม โอกาสนี้โว้กบิวตี้จึงได้เข้าพูดคุยกับศาสตราจารย์ออกัสตินัสเพื่อพูดคุยถึงไอเท็มใหม่และมุมมองของเขากับวงการสกินแคร์ในยุคนี้ที่แตกต่างจากวันแรกของการเริ่มต้นแบรนด์อย่างสิ้นเชิง

‘คนฉลาด’เปลี่ยนวงการสกินแคร์
ยุคนี้อาจพูดได้ว่าพวกเราในฐานะผู้ใช้งาน ‘ฉลาดขึ้น’ เรารู้ว่าส่วนผสมไหนช่วยแก้ปัญหาผิวอะไร ทำให้แบรนด์สกินแคร์ยุคนี้จึงต้องทำการบ้านอย่างหนักทุกครั้งเวลาเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ “ผู้ใช้ยุคนี้หาทางแก้ไขปัญหาผิวมากกว่าแค่ชั่วคราว แต่กลับมองหาสกินแคร์ที่ฉลาด ทรงประสิทธิภาพ และคุ้มค่า” เป็นจริงอย่างที่ศาสตราจารย์ออกัสตินัสว่าไว้ ความงามอย่างยั่งยืนคือสิ่งที่ผู้คนโหยหากันมากขึ้น สกินแคร์ยุคนี้นอกจากจะต้องเห็นผลลัพธ์ในระยะสั้นแล้วจึงต้องช่วยดูแลผิวในระยะยาวด้วย ทำให้ไม่ว่าอายุจะเลยไปเลขที่เท่าไหร่ แต่ความสวยที่ยังมีต้องดูดีที่สุดในวัยนั้นๆ เสมอ

คอนเทนต์เรื่องผิวล้วนเป็นความเชื่อ
ท่ามกลางคอนเทนต์นับไม่ถ้วนบนโลกออนไลน์ต่างเต็มไปด้วยการให้ความเชื่อหรือข้อมูลเกี่ยวกับผิวแบบไร้หลักฐานอ้างอิงจนทำเอาหลายคนผิวพังเพราะความเชื่อเหล่านี้ไปไม่น้อย “เราควรให้ความสำคัญกับสุขภาพผิวมากกว่าการแก้ไขปัญหาระยะสั้นอย่างหัตถการฟิลเลอร์หรือการปกปิดต่างๆ” เทรนด์การใช้ตัวช่วยด้านเสริมความงามที่กำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ อาจทำให้เรามองว่าปัญหาผิวยุคนี้แก้ง่าย แค่เข้าคลินิก หรือใช้เมกอัปช่วย แต่เชื่อเถอะว่าในระยะยาวสิ่งเหล่านี้ไม่อาจช่วยได้เสมอไป การบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอคือสิ่งที่ควรเกิดขึ้น เพราะความงามอย่างยั่งยืนไม่อาจเกิดขึ้นได้ผ่านการเข้าคลินิกหนึ่งครั้งหรือการแต่งหน้าผ่านช่างมากฝีมือหนึ่งคน
“ผิวไม่ได้รับผลกระทบจากการแก่ชราของร่างกายเท่านั้น แต่ยังมาจากปัจจัยภายนอกอีกมากมายที่ทำให้ผิวเครียดด้วยเช่นกัน”
ทิศทางต่อไปของออกัสตินัสในอนาคต
พอมองออกัสตินัส บาเดอร์ในตอนนี้เทคโนโลยีและไอเท็มต่างๆ ที่คิดค้นมาตั้งแต่ต้นก็ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และเทรนด์การดูแลตัวเองของคนยุคนี้ได้ดีอยู่แล้ว ทั้งการแบ่งประเภทผลิตภัณฑ์ให้เลือกใช้ได้ง่ายผ่านความเข้มข้นของเนื้อสัมผัสหรือส่วนผสมที่แบ่งเป็นสูตรปกติและสูตร ‘Rich’ รวมถึงการมีโปรดักส์ที่ไม่ทับซ้อนกันและมีเฉพาะที่จำเป็นต่อการบำรุงผิวจริงๆ ที่สำคัญคือเทคโนโลยีเอกสิทธิ์อย่าง TFC8® ก็ให้ผลลัพธ์ที่หลายคนพึงพอใจเป็นอย่างมาก แต่ศาสตราจารย์ออกัสตินัสยังมองเห็นช่องทางการพัฒนาต่อของเทคโนโลยีนี้ที่จะปรับปรุงให้ทำงานบนผิวของแต่ละคนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งนี่จะเป็นจุดสำคัญที่ออกัสตินัส บาเดอร์จะเดินหน้าต่อในอนาคต
“วิสัยทัศน์ของผมคือการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ให้สนับสนุนการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านกระบวนการที่ใช้สูตรทางชีววิศวกรรม ยิ่งไปกว่านั้นเราจะเดินค้นคว้าและหาทางขยายขอบเขตการทำงานกับเซลล์ผิวทั้งเรื่องการสื่อสารและนำส่งคุณสมบัติของส่วนผสมเพื่อมองหาความไปได้ที่มากขึ้น”

The Elixir
แม้ออกัสตินัส บาเดอร์จะมีเซรั่มอยู่แล้ว แต่สำหรับ The Elixir เปรียบได้กับการเป็นเซรั่ม ‘บูสเตอร์’ สำหรับเสริมกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ตามธรรมชาติ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากเซรั่มตัวนี้คือการลดเลือนริ้วรอยที่เห็นผลได้ชัดเจนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ผิวที่ได้จะมีความยืดหยุ่นกระชับและอุ้มความชุ่มชื่นไว้ได้ยาวนาน ทำให้ได้ผลลัพธ์เพิ่มเติมอย่างผิวที่แข็งแรงขึ้นด้วย
“เราผสานเทคโนโลยีเอกสิทธิ์เข้ากับ Phyto-Peptidic Concentrate ส่วนผสมที่ได้แรงบันดาลใจจากการค้นคว้าเอ็กโซโซม ทำให้ The Elixir ขวดนี้เข้าไปเสริมการทำงานอันชาญฉลาดของผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
จุดเด่นของ The Elixir คือการเป็น ‘บูสเตอร์’ ที่ได้เทคโนโลยีเอกสิทธิ์เจเนอเรชั่นใหม่ Advanced TFC8® ที่ช่วยเสริมการซึมซาบส่วนผสมเข้าสู่ผิวให้เกิดการทำงานในผิวได้เร็วขึ้น รวมถึงเสริมผลลัพธ์การสนับสนุนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ โดยไม่ทำให้ผิวเกิดอาการระคายเคือง

