Vogue Beauty Thailand

MAKE UP

3 บทบาทสำคัญของเทคโนโลยี AI กับวงการความงามที่น่าจับตาในปีนี้

ปัญญาประดิษฐ์จะมีอิทธิพลต่อวงการบิวตี้มากน้อยเพียงใดในปี 2025 นี้

โดย Sirikanya Dangprasert
20 กุมภาพันธ์ 2568

นับว่าช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ หลายๆ วงการในอุตสาหกรรมต่างก็เข้าสู่ยุคแห่งเทคโนโลยี AI ไม่เว้นแม้แต่ในแวดวงสายบิวตี้ที่ทยอยขยับตัวเข้าสู่ยุคใหม่ ดึงเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ที่ล้ำสมัยเข้ามาช่วยเสริมบริการที่ทำให้ผู้ใช้งานและคนรุ่นใหม่เข้าถึงแบรนด์หรือบริการได้ดียิ่งขึ้น วันนี้โว้กบิวตี้จะพามาสำรวจบทบาทของ AI ที่สำคัญต่อวงการความงามซึ่งอาจนำมาสู่การพลิกโฉมอุตสาหกรรมความงามหรือแม้แต่พฤติกรรมของสายบิวตี้เลิฟเวอร์ก็เป็นได้ 

Article

3 บทบาทสำคัญของเทคโนโลยี AI กับวงการความงาม

1.Professional Skin Analysis ตรวจสอบและวิเคราะห์ปัญหาผิวได้อย่างแม่นยำ

ถ้าพูดถึงการตรวจสุขภาพผิวหน้าในยุคก่อนคงต้องนึกถึงการเดินเข้าคลินิกเพื่อไปปรึกษาแพทย์และวิเคราะห์ผลออกมาโดยอาจต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายจำนวนมาก แม้ว่า Skin Analyzer หรือเครื่องมือในการช่วยวิเคราะห์สภาพผิวจะไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่เสียทีเดียว แต่ในช่วงปีที่ผ่านมาก็เริ่มมีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบิวตี้แบรนด์ชั้นนำที่ต้องการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่มารับบริการและสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวของลูกค้าได้อย่างตรงจุด

ตัวอย่าง Skin Analyzer บิวตี้แบรนด์ชั้นนำของประเทศไทย

  • LANCÔME Skin Screen เครื่องวิเคราะห์สภาพผิวแบบ 10 มิติใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Tri-Polar Light ซึ่งสามารถวิเคราะห์ปัญหาผิวระดับลึกได้อย่างแม่นยำ
  • SK-II Magic Scan เครื่องมือวิเคราะห์ผิวโดยใช้ Facial Recognition Technology การจดจำใบหน้าเพื่อตรวจจับความแปรผันของสภาพผิวหนัง
  • IPSALYZER เครื่องวิเคราะห์สภาพผิวที่สามารถ ตรวจเช็กระดับน้ำมันบนผิว ความยืดหยุ่นของผิวรวมไปถึงจุดที่มีความหมองคล้ำ

2.Virtual Try-On ไม่ต้องไปถึงเคาน์เตอร์ก็ลองสินค้าเสมือนจริงได้

ในยุคที่ Online Shopping เติบโตแบบก้าวกระโดด ผู้บริโภคนิยมซื้อของบนแพลตฟอร์มออนไลน์เพราะตอบโจทย์ความสะดวกรวดเร็ว แต่เชื่อว่าสาวๆ หลายคนที่อยากช็อปบิวตี้ไอเท็มผ่านทางออนไลน์คงมีความกังวลใจในเรื่องของเนื้อสัมผัสและเฉดสีที่ไม่แน่ใจว่าจะเข้ากับผิวของเราหรือไม่ Virtual Try-On คือเทคโนโลยี AI ที่เข้ามาตอบโจทย์ปัญหานี้ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะไม่สามารถจำลองได้อย่างสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็สามารถช่วยให้มีตัวเลือกในการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ได้เป็นอย่างดี รวมถึงการ Try-On ที่อยู่ในรูปแบบของฟิลเตอร์ที่เป็นฟังก์ชั่นซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

ตัวอย่าง บิวตี้แบรนด์ที่มี Virtual Try-On จำลองสินค้าเสมือนจริง

  • KANEBO Virtual Makeup สามารถทดลองเมกอัปผ่านทางเว็ปไซต์โดยสามารถสแกนใบหน้าแบบ Real-time หรืออัปโหลดรูปที่มีอยู่แล้ว
  • MAYBELLINE Lipstick Filter การลองสินค้าในรูปแบบของฟิลเตอร์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ตอบโจทย์พฤติกรรมคนรุ่นใหม่

3.Personalize and Powered Customization ตอบโจทย์เฉพาะบุคคลมากยิ่งขึ้น

ถ้าลองมองย้อนกลับไปเมื่อสัก 10 ปีก่อนการมองหารองพื้นสักขวดที่มีเฉดสีตรงกับผิวแบบเป๊ะๆ คงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่ในโลกปัจจุบันบิวตี้เทรนด์มีความหลากหลายและพัฒนาไปทั้งในด้านของประสิทธิภาพและความเฉพาะเจาะจงที่ตอบโจทย์แบบรายบุคคลมากยิ่งขึ้น ซึ่งเทคโนโลยี AI ก็ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์กับความหลากหลายนี้มากขึ้นเช่นเดียวกัน

ตัวอย่าง บิวตี้แบรนด์ที่มีการทำ Personalize Products

  • HERA Silky Stay Custom Match หุ่นยนต์ AI วิเคราะห์สีและอันเดอร์โทนผิว พร้อมช่วยผสมเฉดสีรองพื้นให้ตรงกับสีผิวของลูกค้าซึ่งยังมีเฉดสีให้เลือกในระบบกว่า 205 เฉดสีด้วยกัน
  • YSL Rouge Sur Mesure อุปกรณ์ที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์และสร้างเฉดสีลิปสติกที่เข้ากับผิวหรือเสื้อผ้าโดยสามารถสร้างเฉดสีของลิปสติกได้กว่า 1,300 เฉดสี
Photo : Courtesy of Brands