MAKE UP

Christopher Chong จากศิลปินสู่ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์แบรนด์น้ำหอม Amouage ที่ใช้จินตนาการในการสร้างสรรค์

เมื่อโชคชะตาพาเขามาอยู่จุดที่ใครก็ใฝ่หา

โว้กบิวตี้พูดคุยสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับ Christopher Chong ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์แบรนด์น้ำหอมนีชสุดหรู Amouage จากคนที่ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับด้านน้ำหอม และความฝันการเป็นศิลปินโอเปร่าสุดท้ายโชคชะตาก็พาเขามาอยู่จุดที่ใครหลายคนใฝ่หา พร้อมทั้งความกล้าที่จะบอกเล่าเรื่องราวของเขาที่ไม่ได้หอมหวานเหมือนน้ำหอม สู่คอลเล็กชั่นน้ำหอมของ Amouage

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

A post shared by AMOUAGE (@amouageofficial) on

ฉันอ่านเรื่องราวของคุณก่อนที่จะมาทำงานกับ Amouage ที่คุณทำงานอยู่ในธุรกิจโมเดลลิ่ง หลงไหลและได้เรียนร้องโอเปร่ากว่าสิบปี คุณไม่ได้มีประสบการณ์ทางด้านการปรุงน้ำหอมใดๆ เลย ทำไมคุณถึงมาทำงานร่วมกับแบรนด์นี้ และเริ่มรับหน้าที่ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ได้อย่างไร?

มีคำกล่าวไว้ว่า “You just don’t know what will happen around the corner sometimes” “คุณไม่รู้หรอกว่ามีอะไรรอคุณอยู่ข้างหน้า” และประสบการณ์ของผมก็บอกว่านั่นเป็นเรื่องจริง ผมไม่รู้ว่ามีอะไรใกล้เข้ามา และยังมีอีกคำกล่าวนึงคือ “It lands on my lap” “อยู่ๆ มันก็โผล่มา” และนั่นก็จริงเช่นกัน ตอนผมเรียนโอเปร่าอยู่ ผมเนี่ยเป็นคนที่ดื้อมากๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านไป เสียงของผมไม่ได้พร้อมที่จะร้อง ร่างกายของผมไม่พร้อมสำหรับการร้องในบทบาทที่ใจผมต้องการ มันต้องใช้เวลายาวนานในการพัฒนา เลยอยากให้ผมลองเบนความสนใจไปในบทที่เป็นบาริโทนที่อ่อนลง แต่ผมไม่อยากเป็น ผมไม่อยากเป็นตัวตลก ผมอยากเป็นตัวเอก อยากเป็นตัวร้าย และอย่างที่ผมบอก ผมเป็นคนที่ดื้อ ผมคอยแต่จะปัดโอกาสของบทบาทหลายบทไป เพราะผมเฝ้ารอว่าบทใหญ่จะมา แต่เสียงก็ผมก็ยังไม่พร้อม ผมไม่ได้สักบทเพราะผมปฏิเสธไป และก็มีบางอย่างเกิดขึ้น เกี่ยวกับการเข้าสู่โลกของน้ำหอมเริ่มขึ้น ณ เวลานั้น Amouage กำลังจะเปลี่ยนแปลงแนวทางใหม่ และ CEO ในเวลานั้น David Crickmore คิดว่าแบรนด์ของเขาต้องการครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่แบรนด์ไม่เคยมีมาก่อน

ผมเลยได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์งาน ซึ่งเขามองหาคนที่มีความเป็นศิลปิน ใครก็ตามที่ทำงานในแวดวงศิลปะ แบรนด์สนใจผมที่คาแร็กเตอร์ เขาบอกว่า เขาอยากจะเปลี่ยนแปลงแบรนด์ใหม่ทั้งหมด แนวทาง แพ็กเกจจิ้ง โลโก้ ทุกสิ่ง ผมก็ตอบโอเค เขาถามผมไปปารีสได้ไหม ผมก็ตอบว่า ได้! เขาจัดการให้ผมได้พบกับนักปรุงน้ำหอมชื่อดังที่ปารีส เพื่อทำน้ำหอมพิเศษเนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปี เพื่อผู้หญิง และ ผู้ชาย สิ่งที่ผมต้องการจะทำก็คือ การเล่าเรื่อง ผมจึงบอกทุกคนว่า ผมอยากให้แบรนด์ของเราเล่าเรื่องได้ สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อออกมาในครั้งนั้นคือคำว่า Hope (ความหวัง) ผมควรจะพูดเรื่องความหวังอย่างไร ผมเลยเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวผมเองให้พวกเขาฟัง จากโอเปร่าเรื่องโปรดของผม เรื่องราวคือ ภูตนางฟ้าร้องเพลงขอพระจันทร์ เพราะมีความหวังที่จะได้กลับร่างของตนที่ถูกสาป มีแค่มนุษย์เท่านั้นที่จะทำลายคำสาปได้ เธออยากให้เจ้าชายได้ยินเสียงเพลงของเธอ และคำสาปจะมลายหายไป นั่นแหละคือ 'ความหวัง' ผมใช้บทเพลงขอดวงจันทร์ (Song to the moon) เป็นแรงบันดาลใจ พวกเขาตกใจในบรีฟของผม เพราะส่วนใหญ่พวกเขามักจะได้บรีฟที่เป็นเชิงโฆษณาเพื่อการขาย พุ่งเป้าไปที่ลูกค้าอายุต่างๆ แต่ผมไม่ใช่ ผมใช้ภาษาดนตรีของผมในการเล่าเรื่อง และนั่นแหละคืองานของผม  

นั่นก็แปลว่า น้ำหอมของคุณก็เหมือนกับคนๆ หนึ่งที่มักจะมีเรื่องราวในตัวเอง

สิ่งที่ผมทำก็คือ ผมมองย้อนมาที่ตัวเองก่อน ผมคิดว่าเราทุกคนแตกต่าง แต่น้ำหอมก็คือน้ำหอม บางทีมันก็มีส่วนผสมเหมือนๆ กัน ผมเลยตั้งคำถามว่า แล้วจะทำอย่างไรให้มันแตกต่าง มีความออริจินัลไม่เหมือนใคร คุณจะต้องใส่เรื่องราวของคุณเข้าไปและตีความในแบบของคุณ ใส่เรื่องราวที่เกิดกับคุณ ดังนั้นคุณจะต้องกล้าที่จะบอกความลับของคุณนั้นกับโลกนี้ สุดท้ายก็คือผสมเวทมนตร์เข้าไปให้เป็นน้ำหอม เพราะไม่มีใครได้ใช้ชีวิตแบบคุณ และไม่มีใครเหมือนคุณ

มาพูดถึงเรื่องแพ็กเกจจิ้งกันดีกว่า เพราะมันพิเศษมากๆ และเตะตาฉันมากๆ มีเรื่องราวความเป็นมาอย่างไรบ้าง

ขวดน้ำหอมของเราทำจากแก้วคริสตัล ผลิตในเยอรมัน เป็นประเทศอันดับหนึ่งที่ผลิตแก้วคริสตัล และน้ำหอมแต่ละแบบ ก็มีการดีไซน์ในแบบของตัวเอง อย่างอันนี้ (คอลเล็กชั่น Portrayal) จะมีประกายมุก เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของมัน และอันนี้เป็น Gun Metal (โลหะผสมทองแดง) และบางคราวเราก็ใช้ทอง สีเหลืองทองหรือสีโรสโกลด์ ทุกอันล้วนทำมาจาก ทองคำจริงๆ จุกเปิดปิดก็เป็นแม่เหล็ก (Magnetic Cap) เละเราก็จะพิมพ์ลายชื่อของน้ำหอมไว้ด้านข้าง ต่อมา ก็คือ กล่องน้ำหอม ทำมาจากไม้ ทนทานและหรูหรา แถมเป็นกล่องแบบแม่เหล็กด้วย ย่อยสลายได้ไม่เป็นขยะแน่นอน ซึ่งเราจะให้ความสำคัญกับกับทุกรายละเอียดมาก

Portrayal for Man and Woman

อะไรคือความหมายเบื้องหลังของคอลเล็กชั่นน้ำหอม Portrayal

Portrayal เป็นน้ำหอมตัวล่าสุดจากคอลเล็กชั่นหลักของเรา และในคอลเล็กชั่นนี้ผมส่งทอดเรื่องราวความเป็นตัวตนของผม นี่เป็นน้ำหอมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันในวัยเด็กของผม เด็กทุกคนรักการเดินทางข้ามเวลา (Time Travel) นึกฝันถึงรูหนอนในอวกาศ อย่างตอนเราทะเลาะกับพ่อแม่ เราก็อยากหนีข้ามเวลาไปเลย บวกกับความรักของผมที่มีให้กับภาพยนตร์ไซไฟ และอีกมุมนึงที่ผมหยิบจับเข้ามาในการสร้างคอลเล็กชั่นนี้ คือยุค 1920 ฤดูหนาวในลอนดอน มีภาพยนตร์อยู่เรื่องหนึ่งเกิดขึ้นในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มีกลุ่มวัยรุ่นที่อยากจะสู้เพื่อประเทศ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีชีวิตที่เสียไปกับสงครามมากมาย แต่นี่คือกลุ่มคนที่โตไม่พอที่จะไปร่วมสงครามตอนนั้น พวกเขาคือทางแก้ไขหลังวิกฤติสงครามที่เกิดขึ้น พวกเขาคือกลุ่มคนที่มีการศึกษาสูง พวกเขาจึงได้เป็นศิลปิน เป็นนักเขียน เป็นนักออกแบบเวที (Stage Designer) หรือช่างภาพ

คุณรู้จักภาพยนตร์เรื่อง My Fair Lady ไหม? ชุดของ Audrey Hepburn ในเรื่องนั้น ถูกออกแบบขึ้นโดย Cecil Beaton และเขาก็ยังเป็นช่างภาพชื่อดังของฮอลีวู้ดด้วย รวมถึง E.M.Forster และ Duchess of DerbyShire พวกเขาคือกลุ่มคนไอคอนิกของทศวรรษนั้น สิ่งที่พวกเขาทำนั่นก็คือการเดินไปมาบนถนน ด้วยการแต่งกายในชุดของเพศตรงข้าม ทำอะไรบ้าๆ และปาปารัสซี่ก็จะคอยตามถ่ายรูปพวกเขา เพราะว่าพวกเขาเป็นชนชั้นสูง แต่พวกเขาก็ยังชอบที่จะมีข่าวฉาว ปาปารัสซี่ก็ยิ่งสนใจเข้าไปอีก ซึ่งนั่นก็เป็นทศวรรษที่สนุกและกล้าหาญสุดๆ และผมก็คิดภาพตัวผมที่ข้ามเวลาไปยุคนั้น ได้ไปปาร์ตี้กับคนเหล่านั้น นอกจากนั้นผมอยากจะเดินทางไปช่วงเวลาใหม่อีก ข้ามไปยุค 1980 ที่จะได้เห็นนักร้องเพลงป๊อปอมตะตลอดกาลอย่าง มาดอนน่า คุณอาจจะสงสัยว่าผมกำลังพูดถึงอะไรอยู่ แต่สองช่วงเวลานี้มันมีความเชื่อมกันอยู่ที่ "ไข่มุก" ที่ได้ใช้เป็นแรงบันดาลใจในการทำแพ็กเกจจิ้งด้วย เพราะมาดอนน่าเองก็ชอบการใส่ไข่มุกเหมือนผู้หญิงยุค 1920 และปี 1920 ผมก็นึกถึงวัฒนธรรมการสูบบุหรี่ แม้ผมจะไม่ได้สนับสนุนการสูบบุหรี่หรอกนะ แต่วัฒนธรรมการสูบบุหรี่ในปีนั้นสำคัญ ถือเป็นการปลดปล่อยอิสระให้กับสตรี เป็นแรงขับเคลื่อนของผู้หญิงยุคนั้นด้วย เพราะก่อนหน้านั้นผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาติให้สูบ ต้องสูบในที่ปิดอย่างส่วนตัวเท่านั้น ถึงขนาดว่ามีการทำบุหรี่สำหรับเพศหญิงขึ้นมาโดยเฉพาะ รูปทรงจะเล็กเรียวกว่าและมีรสหวาน ผมก็ได้รับแรงบันดาลใจจากบุหรี่ยาเส้นเหมือนกัน ผมรู้สึกว่าปี 1920 ช่างเป็นช่วงเวลาที่พิเศษเหลือเกินสำหรับผู้หญิง และยังเป็นช่วงเวลาแห่งการทดลองความเป็นผู้ชายที่ไม่มีข้อจำกัด ถือว่าเป็นยุคที่เริ่มไม่มีการตีกรอบของเพศ

 



WATCH



ผมได้ดำดิ่งลงไปค้นหาเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ แล้วถ่ายทอดออกมาบนขวดน้ำหอม ผมใช้แก้วที่คุณจะเห็นประกายไข่มุกจากบนขวดน้ำหอม ผมต้องการจะถ่ายทอดความรู้สึกของเรื่องราวของการทะลุข้ามเวลาเข้าไป และยังพูดถึงไข่มุกที่เป็นตัวแทนของยุคนั้น และถ้าคุณดูที่กล่อง คุณจะเห็นแพตเทิร์นของมันที่เป็นสไตล์แบบอาร์ต เดโค และยังดูเหมือนกับรูหนอนเวลา ที่คุณจะทะลุผ่านเข้าไปเพื่อเดินทางย้อนเวลาไปยุคนั้นได้

แล้วกลิ่นของน้ำหอม Portrayal ล่ะ

ของผู้หญิงก่อนผมใช้ส่วนผสมในกลิ่นที่มีชื่อทั้งในเวลายุค 1920s และ 1980s และในทั้งสองยุคนั้น เหมือนกันตรงที่ต้องการจะถ่ายทอดความเป็นตัวเองออกมา และส่วนผสมที่ผมใช้เพื่อถ่ายทอดสิ่งนั้นก็คือ มะลิ (Jasmine) และ ซ่อนกลิ่น (Tuberose) ผมใช้ซ่อนกลิ่นมาเป็นกลิ่นรองของมะลิ เพราะกลิ่นของมะลิเป็นกลิ่นที่ควบคุมได้ยาก และผมก็นำเสนออีกกลิ่นที่แทนการสูบบุหรี่ เป็นกลิ่นของ Tobacco และเบสโน้ตของน้ำหอมนี้ก็คือ Elemi เป็นกลิ่นที่สดชื่น ผมต้องการที่จะแสดงสัญลักษณ์ของความเป็นหญิง ที่สื่อว่าผู้หญิงก็ยังคงต้องการความเปลี่ยนแปลงอยู่

ส่วนน้ำหอมผู้ชายผมได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ผู้ชายในยุค 1920s ที่ทำลายกรอบของความเป็นผู้ชาย และสิ่งนั้นก็ยังคงส่งต่อความสำคัญมาถึงทุกวันนี้ เป็นช่วงเวลาสำคัญของสังคม ทุกวันนี้เรายังคงพูดถึงประเด็นเหล่านั้นอยู่ ผมเลยได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งนั้น จากกลุ่มผู้ชายในปี 1920s ที่กล้าหาญที่จะท้าทายสังคม และมุมมองของคนต่อพวกเขา ผู้ชายสมัยนั้นมักจะถูกเชื่อมติดไว้กับ บุหรี่ หนัง กลิ่นไม้ ปืน นั่นแหละผู้ชาย แล้วผมก็คิดว่าทำไมผมไม่เปลี่ยนมันสักหน่อยล่ะ ผมอยากจะให้กลิ่นแรก (First notes) ของมันเป็น Violet Leaves ใบไวโอเล็ต เพื่อให้มีกลิ่นที่ให้ความรู้สึกเหมือนสีเขียว หอมกลิ่นสดชื่น แม้จะไม่มากแต่ก็มากพอที่จะเปลี่ยนกรอบของความเป็นผู้ชายปกติ และโน้ตต่อมาก็คือ Vetiver หญ้าแฝก ที่จะให้กลิ่นแห้งๆ หอมแบบวู้ดดี้ และผมก็คิดว่าผมพอแล้วกับการที่จะหยิบใส่ความแปลกเข้าไปในความเป็นผู้ชาย ผมจะใส่ความเป็นผู้ชายอย่างแท้จริงลงไป ด้วย Cade เค๊ด ที่จะให้ความรู้สึกถึง ควัน กลิ่นไหม้ของหนัง และนั่นแหละคือสิ่งที่ผมทำกับการท้าทายความเป็นผู้ชายในน้ำหอม

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

A post shared by AMOUAGE (@amouageofficial) on

Perfume layering เป็นแทรนด์ที่กำลังมาในตอนนี้มาก คุณคิดยังไง คุณแนะนำให้เลเยอร์น้ำหอมนี้ไหม?

ไม่เลย เพราะเราใช้น้ำหอมที่เข้มข้นมากสำหรับ Eau de Parfum พวกเราใช้ถึง 25 % และส่วนผสมในน้ำหอมเหล่านี้ก็มีระดับที่บังคับไว้ว่า บางกลิ่นคุณไม่ควรใช้เกินไปกว่านั้น อาจมีบางคนที่เหมือนผม อาจจะแพ้ส่วนผสมบางชนิด และถ้าหากคุณใส่มันเยอะก็คงจะไม่ดี แต่ถ้าหากเป็นน้ำหอมที่ไม่ได้เข้มข้นมาก ผมว่าก็อาจจะทำได้ แต่ว่าน้ำหอมของเรา มีส่วนผสมธรรมชาติที่เข้มข้น ผมเลยไม่แนะนำให้ทำ 

แรงบันดาลใจของคุณมาจากไหน ?

มันมาจากชีวิตผม ที่ผมเคยพูดไปว่าเวลาหลายปีที่ผมอ่านหนังสือมากมายเพื่อที่จะจบ Ph.d ผมบอกพ่อแม่ผมได้แล้วว่ามันไม่ได้หายไปเปล่าๆนะ ผมได้ใช้ความรู้เหล่านั้น ผมมีประสบการณ์หลายปีกับการหาข้อมูล ผมรู้ว่าการสอนตัวเองเป็นอย่างไร บวกกับชีวิตในสายดนตรีของผม ผมรู้จักclassical music และผมจะพยายามไปไกลกว่าที่ผมรู้ ความคิดสร้างสรรค์ มันเกี่ยวกับว่าคุณรู้สึกกับตัวเองอย่างไร

นอกจากนั้นก็คือความคลั่งไคล้ในภาพยนตร์ของผม ผมดึงเอาภาพยนตร์มากมายมาใช้กับงานล่าสุดของผม ปีที่แล้ว ผมปล่อย Imitation (แปลว่าของปลอม การลอกเลียนแบบ) ออกมา ทุกคนตกใจกับมัน ทำไมถึงมีชื่อว่า Imitation ออกมาได้ นั่นเป็นผลงานที่ใช้ความกล้าที่สุดของผม

พอคุณดีไซน์ชื่อ Imitation ออกมา มีคนที่ทำงานร่วมกับคุณ ห้ามคุณไหม

สิ่งที่ผมทำก็คือ เมื่อผมทำงานใดสักงาน ผมกลัวว่าจะมีคนขโมยชื่อของผมไป ผมจึงใช้ชื่อปลอม เพื่อหลอกตลาด ถึงแม้คนจะไปพูดกันว่า นี่คือน้ำหอมใหม่ของ Amouage แต่นั่นก็คือชื่อปลอม คู่แข่งจะได้ไม่รู้ ปกติแล้ว CEO (David Crickmore) จะไม่มาดูการนำเสนอน้ำหอม แต่สองปีที่แล้วเขาไปปารีสกับผมเพื่อดูการนำเสนอ ทุกอย่างไปได้สวย ผมใช้ชื่อว่า Amouage Imitation ที่เป็นชื่อปลอม สุดท้าย CEO บอกว่าเขารักมัน แม้ผมจะบอกว่านี่คือชื่อปลอมนะ แต่เขามองว่ามันจะทำให้คนพูดถึงน้ำหอมนี้ คนจะไม่มีวันลืมมัน และกลายเป็นว่าชื่อนั้นเป็นชื่อที่สมบูรณ์แบบ

ปี 2018 ที่ปล่อย Amouage Imitation เป็นที่ผมกล้าหาญที่สุดก็ว่าได้ เป็นปีแรกที่ผมได้พูดกับโลกนี้เกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กของผมเอง จะมีกี่คนที่สามารถทำอย่างนั้นได้ หลายคนมาจากโลกสวยงาม ได้เข้าเรียนโรงเรียนดีไซน์ ใช้ชีวิตหรูหรา แต่ในคอลเล็กชั่นนั้นผมเล่าเรื่องว่าผมเป็นใครมาจากไหน ผมพูดถึงที่ที่ผมเกิด Downtown New York ที่ถึงแม้ตอนนี้จะกลายเป็นสถานที่เท่ๆ ไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อก่อนมันเป็นแหล่งรวมโรงแรม ที่ผมต้องเดินผ่านทุกวัน และอุตสาหกรรมโรงแรมเหล่านั้นก็เพื่อ โสเภณี และ คนค้ายา ผมได้แรงบันดาลใจจากยุค 1970 ยุคที่มีการเคลื่อนไหวของ Andy Warhol ซึ่งนั่นก็เป็นที่มาของชื่อคอลเล็กชั่น Imitation นั่นคือสิ่งที่ผมกล้าทำในปีที่แล้ว และนั่นยังเป็นการท้าทายไปยังคนอื่นอีกด้วย

ใครกันที่มีอิทธิพลกับคุณมากที่สุด ที่ทำให้คุณยังชอบที่จะทำงานและสร้างผลงานเหล่านี้อยู่

น่าจะเป็นเมนเทอร์ของผม David Crickmore เขาคือผู้บริหารระดับสูงของ Amouage เขาคือคนที่เปลี่ยนแปลง Amouage เขาเปลี่ยนแปลงแนวทางทั้งหมดของแบรนด์ เขาเป็นผู้ริเริ่มของ Niche Movement กว่าสิบปีที่แล้ว เขาผลักดันกรอบทุกอย่างออกไป อย่างผมที่ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร เขาก็ช่วยผลักดันให้ผมทำได้ ทั้งที่ผมไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับน้ำหอม เขายังสนับสนุนให้ผมทำสิ่งนี้ เขาบอกให้ผมบ้าไปกว่านี้ ผมยังบ้าไม่พอ! ถึงผมจะกลัวว่ามันขายไม่ได้ เขาก็จะบอกว่า ยังไงก็แล้วแต่ มันจะมีผู้ชมของมันเองอยู่ดี และนั่นแหละคือสิ่งที่ Amouage เป็น

WATCH