Step 1: เตรียมผิวหน้า

ขั้นตอนแรกเริ่มต้นกันที่ขั้นตอนการเตรียมผิว ด้วยการล้างหน้าให้สะอาด ลงครีมบำรุง มอยส์เจอไรเซอร์ เตรียมน้ำมันและอุปกรณ์ที่จะใช้นวดให้พร้อม แต่ถ้าไม่มีก็ไม่จำเป็น เพราะสามารถใช้มือทั้งสองข้างได้เช่นกัน

Step 2: นวดหน้าผาก

ใช้ทั้งสองมือวางแนบไว้บนหน้าผาก ให้มือขนานกัน จากนั้นดันมือทั้งสองข้างรีดขึ้นให้ทั่วหน้าผาก ทำอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ประมาณ 15 วินาที ท่านี้จะช่วยลดปัญหาริ้วรอยที่หน้าผากได้เป็นอย่างดี 

สำหรับใครที่อยากผ่อนคลายและลดอาการปวดหัว เมื่อทำเซ็ตแรกเสร็จ สามารถทำอีกหนึ่งกระบวนท่านวดหน้าผาก ด้วยการวางนิ้วไว้ระหว่างคิ้วและค่อยๆ เลื่อนนิ้วไปตามไรผม วิธีนี้ช่วยให้ผ่อนคลายได้ดีทีเดียว

Step 3: นวดรอบดวงตา

ผิวบริเวณรอบดวงตาเป็นจุดที่บอบบางจึงต้องนวดอย่างเบามือ เริ่มต้นด้วยการใช้นิ้วที่ถนัดนวดเบาๆ ให้ทั่วรอบดวงตา ทำซ้ำประมาณ 5 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยให้ผิวรอบดวงตาผ่อนคลายและลดอาการบวมช้ำใต้ตาอีกด้วย แนะนำว่าไม่ควรลงน้ำหนักที่นิ้วมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดแรงเสียดสีรอบดวงตาและทำให้ผิวหนังบริเวณดวงตาเหี่ยวย่นได้ 

Step 4: นวดแก้ม

วิธีการนวดแก้ม หากใครที่มีอุปกรณ์นวดหน้า อย่าง หินกัวซา สามารถใช้หินนวดเบาๆ ให้ทั่วแก้มโดยรีดไปจนถึงหู ทำข้างละประมาณ 15 วินาที แต่หากใครที่ไม่มีอุปกรณ์ ให้กำมือหลวมๆ นวดให้ทั่วบริเวณแก้มเป็นวงกลม ทำข้างละ 15 วินาที จากนั้นให้ทำมือเฉียง 45 องศา รีดเนื้อแก้มไปถึงโหนกแก้มหรือใบหู วิธีนี้จะช่วยลดอาการหน้าบวม ทำให้หน้าดูกระชับขึ้น

Step 5: นวดคางและขากรรไกร

ขั้นตอนการนวดคางและขากรรไกร ใช้วิธีการนวดที่เหมือนกับส่วนแก้ม ด้วยการกำมือหลวมๆ จากนั้นนวดให้ทั่วบริเวณคางและขากรรไกร โดยวนเป็นวงกลม จากนั้นใช้ข้อนิ้วมือรีดผิวตั้งแต่คางไปจนถึงบริเวณหู

Step 6: นวดคอ

สเต็ปการนวดคอทำได้ง่ายๆ ด้วยการใช้หินกัวซา หรือใครไม่มีอุปกรณ์ให้แบมือชิดกับต้นคอ จากนั้นรีดคอให้ขึ้นไปจนถึงใบหน้า โดยทำทั้งหมด 5 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยให้ผิวหนังบริเวณคอดูกระชับและช่วยให้รีแลกซ์ลดอาการเมื่อยล้าที่คอได้อย่างดี

Step 7: มาส์กหน้า

หลังจากนวดหน้าเสร็จแล้ว แนะนำให้ใช้ Sheet Mask หรือ Sleeping Mask แนะนำมาส์กที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนหรือไฮยาลูรอน เพราะช่วยคงความชุ่มชื่นให้ผิว ทั้งยังช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำ กระชับและเต่งตึงขึ้น