บิวตี้แบรนด์ไทยมีจำนวนหลายร้อย แต่แบรนด์ที่สามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืนก็ยังมีจำนวนที่น้อย ทำไมกันล่ะ? นั่นอาจเป็นเพราะแบรนด์เหล่านั้นยังไม่เจอ 'ตัวเอง' และ 'ผู้ใช้งาน' จริงๆ
ก่อนเข้าสู่ 6 บิวตี้แบรนด์ไทยน่าจับตามอง อยากชวนมาพูดถึงแบรนด์ไทยในเวลานี้กันสักเล็กน้อย (แบบไม่ต้องอ้างอิงหลักการวิชาการอันซับซ้อนด้วย) พูดถึงแบรนด์ไทยในเวลานี้ สิ่งที่นึกถึงไม่ใช่แค่แบรนด์สมุนไพรเดิมๆ แล้ว แต่กลับมีหลากหลายหมวดหมู่มากขึ้น ทั้งแบรนด์เครื่องสำอางที่มีให้เลือกลายตา ทั้งสีสันและแพ็กเกจจิ้งที่ตามเทรนด์สากลไม่เคยพลาด รวมไปถึงแบรนด์กลุ่มผิวกายและเส้นผมก็มาแรงไม่แพ้กัน นั่นเป็นเพราะมีสมุนไพรไทยเป็นตัวชูโรงให้มีความโดดเด่นได้ชัดเจนกว่าหมวดอื่นๆ ซึ่งการที่แบรนด์ไทยเหล่านี้จะเป็นที่รู้จักและเริ่มขยายตัวมากขึ้นมาจาก 2 สาเหตุหลักคือ รู้จักตัวเองและรู้จักคนที่กำลังมีปัญหาเรื่องความงาม
ปัญหาความงามของคนเราไม่มีวันจบลงได้จนกว่าจะคนๆ นั้นถึงจุดปล่อยวางทางโลก เราจึงพยายามหาตัวช่วยที่สามารถแก้ไขปัญหาความงามในเวลานั้นอย่างตรงจุด และท่ามกลางปัญหาความงามนับไม่ถ้วนนั้นก็เต็มไปด้วย Pain Point ที่แบรนด์หยิบมาใช้มาทำความเข้าใจปักธงเป้าหมายของการสร้างผลิตภัณฑ์และหาความ 'Niche' ที่ทำให้ตัวเองแตกต่าง ทีนี้พอมองมาที่แบรนด์ไทยในท้องตลาดยุคนี้ เราจะเห็นภาพชัดขึ้นว่าแบรนด์ที่ดังจนเราคุ้นหูทั้งหลาย กำลงทำอะไร ทำเพื่อใคร ยิ่งไปกว่านั้นเรากำลังจ่ายเงินซื้อแบรนด์นี้เพราะกำลังมีปัญหาความงามอะไรอยู่ ดังนั้นลองมาดู 6 แบรนด์ไทยที่โว้กบิวตี้เลือกมาในลิสต์นี้กันว่าอะไรที่ทำให้พวกเขาโดดเด่น
6 บิวตี้แบรนด์ไทยที่ไม่ควรพลาดในปี 2025
1 / 6
Moringa Project
ปัญหาอาการระคายเคืองของผิวที่เกิดขึ้นกับตัวเองและครอบครัวกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิด Moringa Project คุณมาริกา นานนิ (Marika Nanni) หนึ่งในผู้ก่อตั้งจึงตามหาส่วนผสมที่อ่อนโยนและช่วยปลอบประโลมผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนเจอกับมะรุมที่ขึ้นชื่อว่าเป็น "พืชมหัศจรรย์" เพราะนอกจากจะอยู่ในอาหารและเครื่องดื่มแล้ว ยังมีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระทั้งภายในร่างกายและบนผิว จนสุดท้ายนำมาสกัดเป็นส่วนผสมที่มีสารต้านอนุมูลอิสระถึง 46 ชนิดใส่ในสกินแคร์ทั้งหมดของแบรนด์ เน้นการปลอบประโลมผิวระคายเคืองและฟื้นบำรุงผิวอย่างอ่อนโยน ตอบโจทย์คนผิวแพ้ง่ายหรือคนที่อยากได้ไอเท็มจากพืชพรรณสมุนไพรที่มีความเป็นธรรมชาติ ทำให้ตอนนี้หากนึกถึงมะรุมในสกินแคร์ก็หนีไม่พ้นแบรนด์นี้
Vogue Picks
Moringa Facial Oil (890 บาท)
น้ำมันบำรุงผิวอเนกประสงค์ ใช้ได้ทั้งกับใบหน้า ผิว และผม ช่วยบำรุงผิวและลดอาการระคายเคือง
2 / 6
Soap for Soul
พูดว่าสบู่สมุนไพรหลายคนคงไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกใหม่น่าสนใจ แต่สำหรับ Soap for Soul สบู่คือตัวกลางที่ทำให้แบรนด์สามารถเล่นสนุกกับการหยิบสมุนไพร-พืชพรรณท้องถิ่นมาสกัดและใส่ลงในสบู่ นอกจากนี้ยังมีโลชั่นทาผิว เจล สครับ และเซรั่มบำรุงผิวในสูตรส่วนผสมต่างๆ อีกด้วย การชุบชีวิตสบู่สมุนไพรที่เคยถูกมองว่าเป็น 'ของตาย' ให้กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ถือเป็นจุดเด่นที่แบรนด์นี้ทำออกมาได้อย่างดี
Vogue Picks:
Siam Soap (180 บาท)
สบู่ก้อนที่รวมสมุนไพร 12 ชนิด น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันรำข้าว ช่วยขจัดคราบเหงื่อไคลและกลิ่นตัว
3 / 6
Skin Syrup
จากรุ่นพ่อผู้เป็นแพทย์แผนไทยที่เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรและเวชกรรมสู่รุ่นลูก คุณพัด-พรรธกา ขันติธรรมากร ผู้มีความตั้งใจอยากส่งต่อความรักความใส่ใจดูแลตัวเองผ่านผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรที่คัดสรรมาอย่างดี จึงเกิดเป็นแบรนด์แฮร์แคร์ที่เน้นเรื่องประสิทธิภาพควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม Skin Srup ชูจุดเด่นเรื่องสมุนไพรที่ไม่ใช่แค่ท้องถิ่นของไทยแต่เป็นสมุนไพรจากทั่วโลกคู่กับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมที่แบรนด์มุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนในระยะยาว โดย Skin Syrup ตั้งต้นจากการขายในโซเชียลและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ส จนปัจจุบันวางขายใน Sephora และบนเว็บไซต์ของแบรนด์เองที่พัฒนาระบบให้สากลยิ่งขึ้น
Vogue Picks:
Abracadabra Anti-Hair Fall Tonic (1,490 บาท)
แฮร์โทนิกสำหรับคนผมร่วงและผมบาง ช่วยเพิ่มอัตราผมงอกใหม่ได้มากถึงหลักหมื่นเส้นพร้อมปรับสมดุลหนังศีรษะ
4 / 6
Panpuri
ขาดแบรนด์นี้ไปไม่ได้แน่นอนเพราะในปีที่ผ่านมา Panpuri ถือว่าเติบโตอย่างก้าวกระโดด เป็นแบรนด์เครื่องหอมลักชัวรีจากไทยที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านความงามอย่าง KOSÉ เข้าซื้อกิจการ หากมองดูภาพรวมแล้วปัญญ์ปุรินำเสนอความเป็นไทยดั้งเดิมและไทยสมัยใหม่ผ่านกลิ่นหอมเอกลักษณ์มาโดยตลอด จนกลายเป็นหนึ่งหมุดหมายของชาวต่างชาติที่ต้องมาสัมผัสความหอมนี้สักครั้ง โดยมีไอเท็มที่โดดเด่นเป็น Perfume Oil น้ำหอมรูปแบบน้ำมันที่ใช้กลิ่นของดอกไม้พืชพรรณและสมุนไพรนานาชนิดมาเป็นตัวบรรยายภาพความหอมผ่อนคลาย นับเป็นไอเท็มแบรนด์ไทยที่ทุกคนควรมี
Vogue Picks:
Extract Perfume Oil กลิ่น One Night in Bangkok (50 มล. 3,850 บาท)
น้ำหอมรูปแบบน้ำมันที่ให้กลิ่นหอมของดอกไม้อย่างมีชั้นเชิงจากซ่อนกลิ่น มะลิ และกระดังงา
5 / 6
Journal
จากวิธีทำน้ำอบน้ำปรุงตามสูตรไทยดั้งเดิมสู่น้ำหอมที่มีกลิ่นร่วมสมัย Journal ใช้กลิ่นหอมเป็นเหมือนสมุดบันทึกความทรงจำที่ได้จากกลิ่นหอมความเป็นไทย จุดเด่นคือการเก็บเกี่ยววัตถุดิบในช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดมาสกัดตามกรรมวิธีทำน้ำอบน้ำปรุงของไทยที่ใช้เวลา 3-6 เดือน เพื่อให้ได้กลิ่นที่ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด เหมือนกับได้ดมจากพืชพรรณนั้นๆ โดยตรง นอกจากนี้การพิมพ์บนขวดแพ็กเกจจิ้งยังใช้หมึกที่ทำจากน้ำมันถั่วเหลืองที่ปลอดภัยและมีผลดีต่อการรีไซเคิลต่อในอนาคตด้วย
Vogue Picks:
Promise Eau de Toilette (50 มล. 1,600 บาท)
น้ำหอมแนวกลิ่นเฟรชซิทรัสจากส้มโอ เกรปฟรุต มะนาว ปิดท้ายด้วยแซฟฟรอนที่ให้ความสไปซี่เล็กน้อย
6 / 6
EverPink
ปิดท้ายกับเมกอัปแบรนด์ไทยที่มุ่งมั่นกับการเป็น Clean Beauty ตั้งแต่แรกเริ่มจากความตั้งใจของคุณมู่ลี่-อัญชิสา วัชรพล ที่อยากทำผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนระดับที่คนแพ้ง่ายใช้ได้ และยังเป็นแบรนด์ไทยกลุ่มแรกๆ ที่มีคอนเซปต์การออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อเสริมความงามธรรมชาติของผู้ใช้ ให้ทุกคนสามารถแต่งเติมสีสันได้อย่างมั่นใจ กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์คือคนวัยรุ่นที่เป็นเจน Z เสียส่วนใหญ่ ซึ่งคนเจนนี้ก็ให้ความสำคัญเรื่องความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและความอ่อนโยนต่อผิวเป้นพื้นเดิมอยู่แล้ว ทำให้ Everpink ถือว่ามาถูกทางในตลาดความงามยุคปัจจุบัน
Vogue Picks:
Skin Contact Tinted Sunscreen (890 บาท)
ครีมกันแดดเนื้อแมตต์ธรรมชาติ ช่วยปกป้องผิวจากยูวีเอและยูวีบีพร้อมเสริมปราการผิว

