FASHION

เปิดประเด็น #VogueChallenge แคมเปญตัดต่อภาพนางแบบผิวสีขึ้นปกโว้ก เรียกร้องความหลากหลายทางเชื้อชาติ!

ใครหลายคนได้เข้าไปสำรวจในโลกออนไลน์ ก็ได้พบกับแฮชแท็ก #VogueChallenge กับการที่ผู้ใช้อินสตาแกรมหลายบัญชีได้ออกมาแสดงจุดยืนในประเด็น #BlackLivesMatter ด้วยการตัดต่อภาพนางแบบ และนายแบบผิวสีบนปกโว้ก

     หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีกระแสการโจมตีการทำงานของโว้ก ในประเด็นของความหลากหลาย และการต่อต้านการเหยียดสีผิว หลังจากที่แอนนา วินทัวร์ บรรณาธิการบริหารโว้กอเมริกาได้ออกมาร่อนจดหมายสารภาพบาป พร้อมขอโทษที่องค์กรของโว้กนั้นไม่ได้ให้สิทธิ์ในการทำงานอย่างทั่วถึงแก่กลุ่มคนผิวสี จนกลายเป็นกระแสในโลกโซเชียลมีเดีย หลายคนออกมาเล่าถึงประสบดการณ์ที่เคยพบเจอในองค์กรดังกล่าวในฐานะของคนผิวสี กระทั่งล่าสุดยังมีกระแสโหมกระพือว่า นี่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้แอนนา วินทัวร์ ต้องก้าวลงจากบังเหียนเจ้าแม่แห่งอุตสาหกรรมแฟชั่นโลกที่เธอจับจองพื้นที่มานานกว่า 30 ปี ก่อนที่ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นผู้บริหารของ Condé Nast ผู้ถือลิขสิทธิ์โว้กจะออกมายืนยันว่า แอนนา วินทัวร์ จะไม่ลาออกจากตำแหน่ง และจะยังไม่ไปไหนทั้งนั้น เพื่อสยบข่าวลือดังกล่าว...

     ทว่าในช่วงเวลาไล่เรี่ยกันเมื่อใครหลายคนได้เข้าไปสำรวจในโลกออนไลน์ ก็ได้พบกับแฮชแท็ก #VogueChallenge กับการที่ผู้ใช้อินสตาแกรมหลายบัญชีได้ออกมาแสดงจุดยืนในประเด็น #BlackLivesMatter ด้วยการตัดต่อภาพนางแบบ และนายแบบผิวสีบนปกโว้ก ที่เมื่อได้ตามสืบรอยเท้ากลับไปเรื่อยๆ กลับพบว่าแฮชแท็กแคมเปญดังกล่าวไม่ได้ถูกริเริ่มโดยโว้ก อีกทั้งยังนับเป็นกระแสตีกลับจากร่องรอยการทิ้งระเบิดลูกใหญ่ของแอนนา วินทัวร์ อีกด้วย...

     แคมเปญดังกล่าวได้รับการริเริ่มโดยนักศึกษาหญิงแห่งเมืองออสโล ที่มีนามว่า Salma Noor ที่เธอได้เริ่มตัดต่อภาพ และโพสต์ภาพตนเองเป็นสีดำ และสีขาวที่ถูกถ่ายโดยช่างภาพ Angélique Culvin พร้อมด้วยโลโก้ปก Vogue และคำโปรยที่แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า “การเป็นคนผิวสีไม่ใช่อาชญากรรม” ที่หลายคนต่างวิพากษ์ไปในทางเดียวกันว่า นี่คือการประท้วงต่อต้านการเหยียดสีผิวอย่างหนึ่ง โดยเธอยังได้ให้สัมภาษณ์กับโว้กอเมริกาถึงแคมเปญดังกล่าวไว้อีกว่า “ฉันคือเด็กผู้หญิงมุสลิมที่เป็นคนผิวสี ที่ต้องการสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ ในขณะเดียวกันก็ต้องการพูดในสิ่งที่สำคัญที่สุดด้วยเช่นกัน และการที่ฉันเลือก Vogue ก็เป็นเพราะว่า โว้กนับเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียง และเป็นมาตรฐานที่คนส่วนมากจะสามารถเข้าถึงได้ง่าย อีกทั้งยังเป็นนิตยสารที่ฉันชื่นชอบอีกด้วย” ก่อนที่เธอจะเล่าต่อไปอีกว่า เธอไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่าแคมเปญในการแสดงจุดยืนดังกล่าวนั้น จะได้รับความนิยมไปทั่วโลกแบบนี้ แต่เธอก็รู้สึกยินดีที่ได้เห็นคนมากหน้าหลายตา และฝีมือของช่างภาพผิวสีที่ปรากฏในแคมเปญครั้งนี้ ก่อนที่เธอจะกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “ฉันต้องการเห็นความหลากหลายมากขึ้นบนปกโว้ก ทั้งเชื้อชาติ และสีผิวที่แตกต่างกันบนแพลตฟอร์มที่ยิ่งใหญ่เช่นโว้ก”...



WATCH




     แท้จริงแล้วเราอาจจะต้องยอมรับว่า สังคมอาจจะยังไม่ได้เห็น “ความหลากหลาย” บนหน้าปกโว้กมากเท่าที่ควร จากฝีมือของเหล่านางแบบ และช่างภาพผิวสี ที่ตอนนี้ก็ว่างเว้นมาแล้วถึง 2 ปี หลังจากที่โว้กฉบับเดือนกันยายนปี 2018 (ซึ่งนับเป็นฉบับที่มีความสำคัญมากที่สุดประจำปี ของทุกหัวนิตยสารทั่วโลก) ได้สร้างปรากฏการณ์นำศิลปินผิวสีชื่อดังอย่างบียอนเซ่มาขึ้นปก ด้วยฝีมือการถ่ายภาพแฟชั่นเซ็ตของช่างภาพเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกัน นามว่า Tyler Mitchell ซึ่งได้สร้างประวัติศาสตร์เป็นช่างภาพผิวสีเชื้อสายแอฟริกันคนแรกที่ได้ถ่ายปกโว้กนั่นเอง

     อย่างไรก็ตามเมื่อมอง #VogueChallenge ในมิติของการรณรงค์ต่อต้านการเหยียดสีผิว ก็นับเป็นแคมเปญที่น่าสนใจไม่น้อยที่จะช่วยปลุกกระแสสำนึกรู้ให้กับคนหมู่มากได้ลุกขึ้นมายืนหยัด เปลี่ยนประวัติศาสตร์กันใหม่ ลบล้างความไม่เท่าเทียมที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ทว่าในอีกมิติหนึ่ง #VogueChallenge ที่โว้กไม่ได้ริเริ่มเองนั้น ก็นับเป็นการเขย่าตัวโว้กเพื่อเรียกสติครั้งใหญ่! ให้หันกลับมาทบทวนบทบาท จุดยืน ความรับผิดชอบ และการแสดงออกของตัวเอง ในฐานะของหนึ่งในสื่อยักษ์ใหญ่ของโลก ต่อสังคมที่กำลังหมุนไปตามพลวัตปัจจุบันด้วยเช่นกัน...

WATCH

คีย์เวิร์ด: #VogueChallenge #BlackLivesMatter